คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2759/2539

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ที่ดินพิพาทเป็นที่ดินมีโฉนดย่อมได้รับการสันนิษฐานว่าผู้มีชื่อในโฉนดเป็นเจ้าของที่ดินนั้นจำเลยอ้างว่าจำเลยถือกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทและสิ่งปลูกสร้างบนที่ดินแทนบุคคลอื่นจำเลยย่อมมีภาระการพิสูจน์ จำเลยซื้อที่ดินและสิ่งปลูกสร้างพิพาทมาระหว่างสมรสกับโจทก์โจทก์ย่อมได้รับประโยชน์จากข้อสันนิษฐานตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา1474วรรคสองจำเลยกล่าวอ้างว่าที่ดินพิพาทและสิ่งปลูกสร้างมิใช่สินสมรสย่อมมีภาระการพิสูจน์

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์และจำเลยจดทะเบียนสมรสกัน และจดทะเบียนหย่ากันแล้ว ระหว่างสมรส โจทก์และจำเลยร่วมกันซื้อบ้านพร้อมที่ดินโดยตกลงกันให้ลงชื่อจำเลยเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ เมื่อหย่าขาดจากกันแล้ว โจทก์ทวงถามให้จำเลยแบ่งสินสมรสดังกล่าวให้แก่โจทก์ครึ่งหนึ่ง แต่จำเลยเพิกเฉย ขอให้บังคับจำเลยแบ่งบ้านพร้อมที่ดินให้แก่โจทก์ครึ่งหนึ่ง หากไม่สามารถแบ่งได้ให้นำออกขายทอดตลาดนำเงินที่ได้แบ่งฝ่ายละเท่า ๆ กัน หากจำเลยไม่ยอมแบ่งหรือไม่ยอมขายบ้านพร้อมที่ดินดังกล่าว ให้จำเลยใช้เงินจำนวน 1,000,000 บาทแก่โจทก์ พร้อมดอกเบี้ย
จำเลยให้การว่า โจทก์และจำเลยมีฐานะยากจนไม่เคยร่วมกันซื้อทรัพย์สินใด ๆ นางสาวมุกดา รัตนาวงศ์ไชยา น้องสาวของจำเลยเป็นผู้ซื้อบ้านและที่ดินตามฟ้อง โดยลงชื่อจำเลยเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์แทนจึงไม่ใช่สินสมรส ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว พิพากษาให้จำเลยแบ่งบ้านพร้อมที่ดินโฉนดเลขที่ 216993 ตำบลคลองกุ่ม อำเภอบางกะปิ กรุงเทพมหานครให้โจทก์ครึ่งหนึ่ง หากไม่สามารถแบ่งได้ไม่ว่ากรณีใด ๆ หรือจะเสียหายมากนัก ก็ให้นำออกขายโดยประมูลราคากันระหว่างโจทก์และจำเลยหรือขายทอดตลาด
จำเลย อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ พิพากษายืน
จำเลย ฎีกา
ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่า จำเลยซื้อที่ดินและสิ่งปลูกสร้างพิพาทมาระหว่างสมรสกับโจทก์ แล้ววินิจฉัยว่า คดีมีปัญหาตามฎีกาของจำเลยว่าที่ดินและสิ่งปลูกสร้างพิพาทเป็นสินสมรสระหว่างโจทก์จำเลยหรือไม่ เห็นว่าที่ดินพิพาทเป็นที่ดินมีโฉนด ย่อมได้รับการสันนิษฐานว่าผู้มีชื่อในโฉนดเป็นเจ้าของที่ดินนั้น เมื่อจำเลยซึ่งมีชื่อในที่ดินพิพาทอ้างว่าจำเลยถือกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทและสิ่งปลูกสร้างบนที่ดินดังกล่าวแทนนางสาวมุกดา จำเลยย่อมมีภาระการพิสูจน์ ทั้งตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา1474 วรรคสอง บัญญัติว่า “ถ้ากรณีเป็นที่สงสัยว่าทรัพย์อย่างหนึ่งเป็นสินสมรสหรือมิใช่ ให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่าเป็นสินสมรสโจทก์ย่อมได้รับประโยชน์จากข้อสันนิษฐานนี้ จำเลยกล่าวอ้างว่าที่ดินและสิ่งปลูกสร้างพิพาทมิใช่สินสมรสย่อมมีภาระการพิสูจน์หักล้างข้อสันนิษฐานของกฎหมายดังกล่าว แม้ศาลชั้นต้นจะกำหนดให้โจทก์นำสืบก่อน ก็ไม่เป็นการเปลี่ยนแปลงภาระการพิสูจน์ของจำเลยและหาทำให้โจทก์ต้องมีหน้าที่พิสูจน์ไม่ และฟังพยานหลักฐานแล้วเห็นว่า ข้อเท็จจริงฟังไม่ได้ว่าจำเลยถือกรรมสิทธิ์ที่ดินและสิ่งปลูกสร้างพิพาทแทนนางสาวมุกดา ที่ดินและสิ่งปลูกสร้างพิพาทเป็นทรัพย์สินที่จำเลยได้มาระหว่างเป็นคู่สมรสกับโจทก์ จึงเป็นสินสมรสระหว่างโจทก์และจำเลยตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1474
พิพากษายืน

Share