แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
ร้านค้าจำเลยที่ 1 โดยจำเลยที่ 2 เป็นสมาชิกบัตรเครดิตของธนาคาร ผู้เสียหายรับมอบเครื่องรูดบัตรไปใช้ที่ร้านจำเลยที่ 1 ซึ่งในทางปฏิบัติเมื่อมีลูกค้าถือบัตรเครดิตมาซื้อสินค้า จำเลยที่ 2 จะต้องเป็นผู้ตรวจสอบความถูกต้องของบัตรและของตัวลูกค้าผู้ถือบัตรนั้น ถ้าผู้ถือบัตรเป็นชาวต่างชาติก็ต้องตรวจสอบหนังสือเดินทางด้วย เมื่อเห็นว่าเชื่อถือได้จึงนำบัตรเครดิตเข้าเครื่องรูดบัตร ทำใบบันทึกรายการขายออกมาให้ลูกค้าลงลายมือชื่อรับรองซึ่งต้องเหมือนกับลายมือชื่อตัวอย่างที่ปรากฏบนบัตรเครดิตด้วยและลูกค้านั้นต้องเป็นเจ้าของบัตรที่นำมาใช้เองจะมอบให้คนอื่นนำมาใช้ไม่ได้ การที่จำเลยทั้งสองนำใบบันทึกรายการขาย 26 ใบ ทะยอยส่งไปขอรับเงินจากผู้เสียหายย่อมเป็นการรับรองอยู่ในตัวว่า จำเลยที่ 2 ได้พบลูกค้าผู้นำบัตรเครดิตมาใช้และตรวจสอบความถูกต้องในเบื้องต้นแล้ว จำเลยทั้งสองจะอ้างถึงความไม่รู้ว่าเป็นบัตรเครดิตปลอมและโยนความรับผิดไปให้ผู้เสียหายไม่ได้เพราะเป็นคนละขั้นตอนกันทั้งผู้เสียหายก็ไม่มีโอกาสพบปะลูกค้าผู้ใช้บัตรเครดิตเหมือนจำเลยที่ 2 การที่ลูกค้านำบัตรเครดิตปลอมมาใช้นั้นหากมีปะปนหลงเข้ามานาน ๆ ครั้ง ก็คงไม่ทำให้เข้าใจว่าเป็นการทุจริต แต่การที่จำเลยทั้งสองนำใบบันทึกการขายไปขอรับเงินโดยปะปนไปกับบันทึกรายการขายอื่น ๆ จำนวนมากถึง 26 ฉบับภายในเวลาเพียง 20 กว่าวัน และทำให้ได้รับเงินไปเป็นจำนวนมากนั้นนับว่าเป็นพิรุธ และบัตรเครดิตแต่ละใบผู้ถือบัตรล้วนเป็นชาวต่างชาติทั้งสิ้น ซึ่งเกือบทั้งหมดไม่เคยเดินทางเข้ามาในราชอาณาจักร จึงไม่น่าเชื่อว่าจำเลยที่ 2 จะได้เคยพบกับผู้ถือบัตรและมีการตรวจสอบบัตรยอมให้ซื้อสินค้าไปด้วยความบริสุทธิ์ใจ ประกอบกับใบบันทึกรายการขายทั้ง 26 ฉบับ มีลักษณะผิดปกติเป็นพิรุธ โดยตัวอักษรในใบบันทึกการขายทับกัน และมีรอยต่อเป็นรอยเส้นแบ่งครึ่งระหว่างข้อความส่วนบนที่เป็นชื่อและหมายเลขบัตรเครดิตของผู้ถือบัตรกับข้อความส่วนล่างที่เป็นชื่อร้านค้าคล้ายกับมีการรูดบัตร 2 ครั้ง ยิ่งทำให้เชื่อว่าจำเลยทั้งสองรู้อยู่แล้วว่าใบบันทึกการขายทั้ง 26 ฉบับ เป็นเอกสารสิทธิปลอม แต่ก็ยังนำไปใช้แสดงขอรับเงินจากผู้เสียหายโดยทุจริต จำเลยทั้งสองจึงมีความผิดฐานใช้เอกสารสิทธิปลอมและฉ้อโกงทั้งสองฐาน
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องว่า จำเลยทั้งสองร่วมกันกระทำผิดต่อกฎหมายหลายบทหลายกระทงต่างกรรม กล่าวคือ เมื่อวันที่ 13 พฤษภาคม 2540 ถึงวันที่ 7มิถุนายน 2540 เวลาใดไม่ปรากฏชัด จำเลยทั้งสองได้ร่วมกันปลอมใบบันทึกรายการขายรวม 26 ฉบับ ของธนาคารทหารไทย จำกัด (มหาชน) ผู้เสียหายอันเป็นเอกสารสิทธิขึ้นทั้งฉบับและกรอกข้อความอันเป็นเท็จให้มีข้อความปรากฏว่าผู้ถือบัตรเครดิต 26 รายได้ใช้บัตรเครดิตของตนชำระค่าสินค้าเป็นเงินรวมจำนวน 614,458 บาท ให้แก่จำเลยทั้งสอง และได้ร่วมกันลงลายมือชื่อปลอมของผู้ถือบัตรเครดิตนั้นลงในใบบันทึกรายการขายทั้ง 26 ฉบับดังกล่าวโดยเจตนาทุจริต เพื่อให้ผู้ที่พบเห็นหลงเชื่อว่าเป็นใบบันทึกรายการขายที่แท้จริง ต่อมาวันที่ 14 พฤษภาคม 2540 ถึงวันที่ 9 มิถุนายน 2540 เวลากลางวัน จำเลยทั้งสองโดยเจตนาทุจริตร่วมกันใช้ใบบันทึกรายการขายที่ร่วมกันทำปลอมขึ้นไปใช้หลอกลวงผู้เสียหาย โดยนำใบบันทึกรายการขายนั้นไปเข้าบัญชีเงินฝากของจำเลยทั้งสองที่ธนาคารผู้เสียหายเพื่อเรียกเก็บเงินจากผู้เสียหายตามข้อผูกพันเกี่ยวกับการรับบัตรเครดิตที่มีอยู่ต่อกัน เป็นเหตุให้ผู้เสียหายหลงเชื่อว่าเป็นใบบันทึกรายการขายที่แท้จริงที่เกิดขึ้นจากการที่ผู้ถือบัตรเครดิตได้ชำระค่าสินค้าให้แก่จำเลยทั้งสองโดยใช้บัตรเครดิต ผู้เสียหายจึงได้นำเงินจำนวนตามราคาสินค้าเข้าบัญชีเงินฝากของจำเลยทั้งสอง ทั้งนี้ โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้เสียหาย บุคคลผู้ใช้บัตรเครดิตผู้อื่นและประชาชน ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 264, 265, 268,341, 83, 90, 91 และให้จำเลยทั้งสองร่วมกันคืนหรือใช้ราคาทรัพย์จำนวน 614,458บาท แก่ผู้เสียหาย
จำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยทั้งสองมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 268 วรรคแรก ประกอบมาตรา 265, 341 การกระทำของจำเลยทั้งสองในการนำใบบันทึกรายการขายอันเป็นเอกสารสิทธิปลอมไปใช้เรียกเก็บเงินจากผู้เสียหายแต่ละครั้งเป็นการใช้เอกสารสิทธิปลอมและฉ้อโกง อันเป็นการกระทำกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษฐานใช้เอกสารสิทธิปลอม ซึ่งเป็นกฎหมายที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 จำเลยทั้งสองได้นำใบบันทึกรายการขายปลอมไปใช้รวม 18 ครั้ง อันเป็นความผิดหลายกรรม ให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไปรวม 18 กระทง ปรับจำเลยที่ 1 กระทงละ 5,000 บาท รวมปรับเป็นเงิน90,000 บาท จำคุกจำเลยที่ 2 กระทงละ 6 เดือน รวมจำคุก 108 เดือน หากจำเลยที่ 1ไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29 ให้จำเลยทั้งสองร่วมกันคืนหรือใช้ราคาทรัพย์ 614,458 บาท แก่ผู้เสียหาย
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยทั้งสองฎีกา โดยผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นอนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงรับฟังได้ในเบื้องต้นว่า จำเลยที่ 1โดยจำเลยที่ 2 เป็นสมาชิกบัตรเครดิตของผู้เสียหาย รับมอบเครื่องรูดบัตรเครดิตไปใช้ที่ร้านค้าของจำเลยที่ 1 แล้วต่อมาผู้เสียหายตรวจพบว่าใบบันทึกรายการขายที่จำเลยทั้งสองนำมาเรียกเก็บเงินไปรวม 26 ฉบับตามฟ้อง เป็นเอกสารสิทธิปลอม จึงแจ้งความดำเนินคดีในข้อหาปลอมเอกสารสิทธิ ใช้เอกสารสิทธิปลอมและฉ้อโกง ความผิดฐานปลอมเอกสารสิทธิยุติไปแล้วว่าคดีไม่พอฟังลงโทษจำเลยทั้งสองคงเหลือแต่ความผิดฐานใช้เอกสารสิทธิปลอมและฉ้อโกงตามที่จำเลยทั้งสองฎีกาขึ้นมา คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยว่า จำเลยทั้งสองกระทำความผิดตามที่ศาลอุทธรณ์พิพากษามาทั้งสองฐานนี้หรือไม่ ที่จำเลยทั้งสองฎีกาว่า พฤติการณ์ตามที่โจทก์นำสืบยังไม่พอฟังว่าจำเลยทั้งสองได้ทราบว่าใบบันทึกรายการขาย 26 ฉบับตามฟ้อง เป็นเอกสารสิทธิปลอมนั้น ได้ความว่าใบบันทึกรายการขายสินค้า 26 ฉบับดังกล่าว ทำขึ้นที่ห้างหุ้นส่วนจำกัดเล็กแฟชั่น ซึ่งเป็นร้านค้าของจำเลยทั้งสอง โดยเมื่อมีลูกค้าถือบัตรเครดิตมาซื้อสินค้า จำเลยที่ 2 จะต้องเป็นผู้ตรวจสอบความถูกต้องของบัตรเครดิตและของตัวลูกค้าผู้ถือบัตรนั้น ถ้าผู้ถือบัตรเครดิตเป็นชาวต่างชาติก็จะต้องตรวจสอบหนังสือเดินทางเมื่อเห็นว่าเชื่อถือได้แล้วจึงนำบัตรเครดิตเข้าเครื่องรูดบัตรทำใบบันทึกรายการขายออกมาให้ลูกค้าผู้ถือบัตรเครดิตลงลายมือชื่อรับรอง ซึ่งลายมือชื่อจะต้องเหมือนกับลายมือชื่อตัวอย่างที่ปรากฏอยู่บนบัตรเครดิตด้วย ลูกค้าผู้นั้นจะต้องเป็นเจ้าของบัตรเครดิตนำบัตรมาใช้เอง มอบให้คนอื่นนำบัตรเครดิตมาใช้ไม่ได้ การที่จำเลยทั้งสองนำใบบันทึกรายการขาย 26 ฉบับตามฟ้องทะยอยส่งไปขอรับเงินจากธนาคารผู้เสียหายนั้น ย่อมเป็นการรับรองแสดงอยู่ในตัวว่าจำเลยที่ 2 ได้พบกับลูกค้าผู้นำบัตรเครดิตมาใช้และตรวจสอบความถูกต้องในเบื้องต้นแล้ว จำเลยทั้งสองจะไม่รับผิดชอบทั้งสิ้น โดยอ้างว่าไม่ทราบว่าเป็นบัตรเครดิตปลอมและโยนความรับผิดไปให้ธนาคารผู้เสียหาย และอ้างว่าไม่อาจตรวจสอบให้ดีไม่ได้เพราะเป็นคนละขั้นตอนกัน ระหว่างการตรวจสอบเพื่อให้ใช้บัตรเครดิตกับตรวจสอบเพื่อจ่ายเงินตามใบบันทึกรายการขาย ธนาคารผู้เสียหายไม่มีโอกาสได้พบปะกับลูกค้าผู้ใช้บัตรเครดิตเหมือนเช่นจำเลยที่ 2 การที่ลูกค้านำบัตรเครดิตปลอมมาใช้นั้น หากมีปะปนหลงหูหลงตาเข้ามาบ้างนาน ๆ ครั้ง ก็คงไม่ทำให้เข้าใจว่าเป็นการทุจริต แต่กรณีตามฟ้องนี้ปรากฏว่าจำเลยทั้งสองนำใบบันทึกรายการขายไปขอรับเงินโดยปะปนไปกับใบบันทึกรายการขายรายอื่น ๆ เป็นจำนวนมากถึง 26 ฉบับ ภายในเวลาเพียง 20 กว่าวันเท่านั้น ฉบับแรก ๆ มีจำนวนเงินใกล้จะถึง 20,000 บาท เมื่อได้รับเงินตามใบบันทึกรายการขายฉบับแรก ๆ แล้วก็เพิ่มจำนวนเงินขึ้นเรื่อย ๆ จนฉบับหลัง ๆ มีจำนวนเงินมากถึง 30,000 บาทเศษ ทำให้ได้รับเงินไปเป็นจำนวนมากนับว่าเป็นพิรุธอยู่ และบัตรเครดิตแต่ละใบที่อ้างว่ามีการนำมาใช้นั้นล้วนมีผู้ถือบัตรเครดิตที่แท้จริงมีตัวตนอยู่แต่ตามที่โจทก์นำสืบฟังได้ว่า ผู้ถือบัตรเครดิตซึ่งเป็นชาวต่างชาติ 26 คนนั้น เกือบทั้งหมดไม่เคยเดินทางเข้ามาในราชอาณาจักรร้อยตำรวจเอกจรูญ จันทร์จำปี พยานโจทก์ซึ่งประจำอยู่สำนักงานตรวจคนเข้าเมืองยืนยันว่า ตรวจสอบข้อมูลการเดินทางเข้าออกแล้วพบว่ามีเพียง 6 คนเท่านั้นที่เคยเดินทางเข้าออกราชอาณาจักร เห็นว่า ถ้าจะมีการนำบัตรเครดิตมาใช้ซื้อสินค้าที่ร้านค้าของจำเลยทั้งสอง โดยเจ้าของบัตรเครดิตที่แท้จริงมิได้เดินทางเข้ามาในราชอาณาจักร จะเป็นกรณีปลอมบัตรเครดิตมาหรือนำบัตรเครดิตที่แท้จริงมาใช้ก็ตามอย่างน้อยที่สุดก็จะต้องมีตัวบุคคลผู้อ้างตนเป็นเจ้าของบัตรเครดิตมาพบปะกับจำเลยที่ 2 ถึง 26 คน เพราะนำบัตรเครดิตมาใช้แทนผู้อื่นไม่ได้ ถ้าแสดงตนเป็นเจ้าของบัตรเครดิตก็จะต้องมีหนังสือเดินทางมาให้จำเลยที่ 2 ดูเพื่อตรวจสอบเปรียบเทียบเมื่อใช้บัตรเครดิตปลอมก็จะต้องมีการปลอมหนังสือเดินทางไม่น้อยกว่า 20 ฉบับมาให้จำเลยทั้งสองดูด้วย ซึ่งไม่น่าจะเป็นไปได้ที่จะมีการหลงหูหลงตายอมให้ใช้บัตรเครดิตได้มากมายเหมือนกับว่าไม่มีการตรวจสอบเลย ยิ่งถ้าจะคิดว่าเจ้าของบัตรเครดิตที่แท้จริงอาจจะลักลอบเดินทางเข้าราชอาณาจักรแล้วนำบัตรเครดิตมาใช้ดังที่จำเลยทั้งสองกล่าวอ้างได้หรือไม่ ก็ยิ่งเห็นว่าเป็นไปได้ยากที่จะมีเจ้าของบัตรเครดิตที่แท้จริงถึง20 กว่าคนเดินทางเข้ามาโดยผิดกฎหมายแล้วต่างมีใจตรงกันนำบัตรที่มีอยู่ไปใช้ซื้อสินค้าที่ร้านค้าของจำเลยทั้งสองอย่างต่อเนื่องเช่นนั้น ตามรูปการณ์ไม่น่าเชื่อว่าจำเลยที่ 2จะได้เคยพบกับผู้ถือบัตรเครดิต และตรวจสอบในเบื้องต้นแล้วเชื่อถือ จึงยอมให้ใช้บัตรเครดิตซื้อสินค้าไปด้วยความบริสุทธิ์ใจ นอกจากนี้ตามคำยืนยันของนายทวีศักดิ์บางท่าไม้ และพันตำรวจตรีอัครเดช เพชร์ยัง พยานโจทก์ว่า ใบบันทึกรายการขายทั้ง26 ฉบับ มีลักษณะผิดปกติเป็นพิรุธ คือตัวอักษรในใบบันทึกรายการขายทับกัน และมีรอยต่อเป็นรอยเส้นแบ่งครึ่งระหว่างข้อความส่วนบนที่เป็นชื่อและหมายเลขบัตรเครดิตของผู้ถือบัตรกับข้อความส่วนล่างที่เป็นชื่อร้านค้าคล้ายกับมีการรูดบัตรเครดิต 2 ครั้งด้วยจึงเชื่อว่าจำเลยทั้งสองรู้อยู่แล้วว่า ใบบันทึกรายการขายทั้ง 26 ฉบับ เป็นเอกสารสิทธิปลอม แต่ก็ยังนำไปใช้แสดงขอรับเงินจากธนาคารผู้เสียหายโดยเจตนาทุจริต จำเลยทั้งสองจึงมีความผิดฐานใช้เอกสารสิทธิปลอมและฉ้อโกงทั้งสองฐาน ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษามานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาจำเลยทั้งสองฟังไม่ขึ้น ส่วนที่จำเลยทั้งสองฎีกามาในข้ออื่นนอกจากนี้ไม่เป็นสาระแก่คดีอันควรได้รับการวินิจฉัยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 วรรคหนึ่ง ประกอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 15 ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยปัญหาดังกล่าวให้”
พิพากษายืน