คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1793/2549

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

เครื่องหมายการค้าโจทก์ขอจดทะเบียนเป็นอักษรโรมันเขียนว่า “HIGHER” ส่วนเครื่องหมายการค้าของบุคคลอื่นที่ได้จดทะเบียนไว้แล้วเป็นภาษาไทยและอักษรโรมันว่า “ไฮเออร์ HI-ER” มีความแตกต่างอยู่ที่เครื่องหมายที่ได้จดทะเบียนไว้แล้วมีทั้งภาษาไทยและอักษรโรมัน แม้การเรียกขานอาจจะมีส่วนเหมือนกัน แต่การเรียกขานย่อมขึ้นอยู่กับสินค้าว่าแต่ละคนจะเรียกขานสินค้าอย่างไร สินค้าโจทก์และจำเลยแม้จะจำพวกเดียวกัน แต่เป็นคนละประเภทเมื่อพิจารณาองค์ประกอบอื่น ๆ เช่น การจัดจำหน่าย คุณภาพ และราคาสินค้าของโจทก์ ซึ่งแตกต่างจากสินค้าของจำเลย นอกจากนี้โจทก์มีเจตนาใช้เครื่องหมายการค้าโดยสุจริต มิได้มุ่งอ้างอิงหรือแสวงหาประโยชน์จากเครื่องหมายการค้าของบุคคลอื่นที่ได้จดทะเบียนไว้แล้ว สาธารณชนจึงไม่สับสนหลงผิดในความเป็นเจ้าของหรือแหล่งกำเนิดของสินค้าเนื่องจากการใช้เครื่องหมายการค้าของโจทก์ เครื่องหมายการค้าที่โจทก์ขอจดทะเบียนจึงไม่มีลักษณะต้องห้ามรับจดทะเบียนตาม พ.ร.บ.เครื่องหมายการค้า พ.ศ.2534 มาตรา 6 (3), 13

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้พิพากษาว่า เครื่องหมายการค้าคำว่า “HIGHER” ของโจทก์ ไม่คล้ายกับเครื่องหมายการค้าคำว่า “HI-ER” ที่ได้จดทะเบียนไว้แล้ว ให้ยกคำสั่งของจำเลยที่ 13 และคำวินิจฉัยของจำเลยที่ 2 ถึงที่ 13 และให้จำเลยที่ 1 ถึงที่ 13 รับจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าตามคำขอจดทะเบียนของโจทก์
จำเลยทั้งสิบสามให้การขอให้ยกฟ้อง
ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางพิพากษาให้เพิกถอนคำสั่งของนายทะเบียนเครื่องหมายการค้าและคำวินิจฉัยอุทธรณ์ของคณะกรรมการเครื่องหมายการค้า ที่ไม่รับจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าคำว่า “HIGHER” ของโจทก์ และให้นายทะเบียนเครื่องหมายการค้าดำเนินการเกี่ยวกับการจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าคำว่า “HIGHER” ของโจทก์ต่อไป โดยให้จำกัดรายการสินค้าในจำพวกที่ 3 เฉพาะน้ำหอมชนิดต่าง ๆ เท่านั้น ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ
จำเลยทั้งสิบสามอุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงรับฟังได้ในเบื้องต้นว่า โจทก์ยื่นขอจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าคำว่า “HIGHER” อ่านว่า ไฮเออร์ สำหรับสินค้าจำพวกที่ 3 รายการสินค้า น้ำหอมชนิดต่าง ๆ เครื่องสำอางชนิดต่าง ๆ หัวน้ำหอม โลชั่นใส่ผม ลิปสติก และสบู่ จำเลยที่ 13 ในฐานะนายทะเบียนเครื่องหมายการค้ามีคำสั่งไม่รับจดทะเบียน เนื่องจากเครื่องหมายการค้าพิพาทเหมือนหรือคล้ายกับเครื่องหมายการค้าคำว่า “ไฮเออร์ HI-ER” ของบุคคลอื่นที่ได้จดทะเบียนไว้แล้ว สำหรับสินค้าจำพวกที่ 3 รายการสินค้าโลชั่นทาผิว โจทก์อุทธรณ์คำสั่งดังกล่าวต่อคณะกรรมการเครื่องหมายการค้า จำเลยที่ 2 ถึงที่ 12 ในฐานะคณะกรรมการเครื่องหมายการค้ามีคำวินิจฉัยให้ยกอุทธรณ์ของโจทก์ ปัญหาต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของจำเลยทั้งสิบสามประการแรกมีว่า โจทก์มีอำนาจฟ้องคดีนี้หรือไม่ โดยจำเลยทั้งสิบสามอุทธรณ์ในทำนองว่า คำวินิจฉัยของคณะกรรมการเครื่องหมายการค้าเป็นที่สุดแล้ว และกรณีเป็นการโต้แย้งในการรับฟังข้อเท็จจริงของเจ้าพนักงานว่าไม่ตรงกับความเห็นของโจทก์ จึงเป็นเรื่องข้อเท็จจริงซึ่งองค์กรวินิจฉัยคดีปกครองในรูปแบบของศาลจะไม่พิจารณาทบทวนให้ เห็นว่า คำวินิจฉัยอุทธรณ์ของคณะกรรมการเครื่องหมายการค้าซึ่งเป็นที่สุดตามพระราชบัญญัติเครื่องหมายการค้า พ.ศ.2534 มาตรา 18 วรรคหนึ่ง นั้น หมายความเพียงว่า ผู้อุทธรณ์จะอุทธรณ์คำวินิจฉัยของคณะกรรมการเครื่องหมายการค้าต่อเจ้าพนักงานอื่นของฝ่ายบริหารต่อไปอีกไม่ได้เท่านั้น แต่หากคำวินิจฉัยอุทธรณ์ของคณะกรรมการเครื่องหมายการค้าเป็นคำวินิจฉัยที่ไม่ถูกต้องตามกฎหมายหรือไม่ชอบด้วยกฎหมาย ผู้อุทธรณ์ย่อมมีสิทธินำคดีมาฟ้องต่อศาลเพื่อขอให้เพิกถอนคำวินิจฉัยนั้นได้ โดยศาลมิได้ถูกจำกัดให้พิจารณาเฉพาะกรณีปัญหาข้อกฎหมายดังที่จำเลยทั้งสิบสามอุทธรณ์แต่อย่างใด เมื่อคดีนี้โจทก์โต้แย้งว่า คำสั่งของนายทะเบียนเครื่องหมายการค้า และคำวินิจฉัยของคณะกรรมการเครื่องหมายการค้าไม่ถูกต้องตามกฎหมายหรือไม่ชอบด้วยกฎหมาย อันเป็นการโต้แย้งสิทธิของโจทก์เช่นนี้ โจทก์ย่อมมีอำนาจฟ้องคดีต่อศาลได้ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศและวิธีพิจารณาคดีทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศ พ.ศ.2539 มาตรา 26 ประกอบประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 55 ที่ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางวินิจฉัยว่าโจทก์มีอำนาจฟ้องคดีนี้จึงชอบแล้วศาลฎีกาแผนกคดีทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศเห็นพ้องด้วย อุทธรณ์ของจำเลยทั้งสิบสามในข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
ปัญหาต้องวินิจฉัยประการต่อมามีว่า เครื่องหมายการค้าพิพาทเป็นเครื่องหมายการค้าที่ไม่พึงรับจดทะเบียนตามพระราชบัญญัติเครื่องหมายการค้า พ.ศ.2534 มาตรา 6 (3) และมาตรา 13 หรือไม่ เห็นว่า กฎหมายดังกล่าวเป็นกรณีที่นายทะเบียนเครื่องหมายการค้าไม่รับจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าหากปรากฏว่าเครื่องหมายการค้าดังกล่าวเหมือนกับเครื่องหมายการค้าของบุคคลอื่นที่ได้จดทะเบียนไว้แล้วหรือเครื่องหมายการค้าดังกล่าวคล้ายกับเครื่องหมายการค้าของบุคคลอื่นที่ได้จดทะเบียนไว้แล้วจนอาจทำให้สาธารณชนสับสนหรือหลงผิดในความเป็นเจ้าของหรือแหล่งกำเนิดของสินค้า คดีนี้ข้อเท็จจริงปรากฏว่า เครื่องหมายการค้าพิพาทเป็นอักษรโรมันเขียนว่า “HIGHER” ส่วนเครื่องหมายการค้าของบุคคลอื่นที่ได้จดทะเบียนไว้แล้วเป็นภาษาไทยและอักษรโรมัน “ไฮเออร์ HI-ER” ดังนี้ แม้เครื่องหมายการค้าดังกล่าวจะมีอักษรโรมันเหมือนกันใน 2 ตัวแรก คือ “H” และ “I” กับเหมือนกันใน 2 ตัวหลัง คือ “E” และ “R” แต่เมื่อพิจารณาเครื่องหมายการค้าดังกล่าวโดยรวมแล้ว จะเห็นว่ามีความแตกต่างไม่เหมือนกันอยู่โดยเฉพาะเครื่องหมายการค้าของบุคคลอื่นที่ได้จดทะเบียนไว้แล้วจะมีภาษาไทยกำกับไว้ด้วย และมีขนาดที่ใหญ่เห็นได้ชัดเจนว่าอักษรโรมัน แม้การเรียกขานอาจจะมีส่วนเหมือนกัน แต่การเรียกขานดังกล่าวย่อมขึ้นอยู่กับสินค้าว่าแต่ละคนด้วยว่าจะเรียกขานสินค้าอย่างไรการเรียกขานจึงเป็นองค์ประกอบสำคัญประการหนึ่งที่ใช้ในการพิจารณา แต่ไม่ใช่สาระสำคัญเพียงประการเดียวที่ใช้สำหรับการพิจารณา ส่วนความคล้ายกันดังกล่าวจะถึงขนาดที่ทำให้สาธารณชนสับสนหรือหลงผิดในความเป็นเจ้าของหรือแหล่งกำเนิดของสินค้าหรือไม่นั้น เห็นว่า สินค้าโจทก์และจำเลยแม้จะจำพวกเดียวกัน แต่เป็นคนละประเภทเมื่อพิจารณาถึงองค์ประกอบอื่น ๆ เช่น การจัดจำหน่าย คุณภาพ และราคาของสินค้าของโจทก์ซึ่งแตกต่างจากสินค้าของจำเลย นอกจากนี้โจทก์มีเจตนาใช้เครื่องหมายการค้าพิพาทโดยสุจริต มิได้มุ่งอ้างอิงหรือแสวงหาประโยชน์จากเครื่องหมายการค้าของบุคคลอื่นที่ได้จดทะเบียนไว้แล้ว สาธารณชนจึงไม่สับสนหลงผิดในความเป็นเจ้าของหรือแหล่งกำเนิดของสินค้าเนื่องจากการใช้เครื่องหมายการค้าพิพาทของโจทก์ ดังนั้น เครื่องหมายการค้าพิพาทจึงไม่ใช่เครื่องหมายการค้าที่มีหรือประกอบด้วยลักษณะอันจะพึงห้ามรับจดทะเบียนตามพระราชบัญญัติครื่องหมายการค้า พ.ศ.2534 มาตรา 6 (3) และมาตรา 13 ที่ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางวินิจฉัยมานั้นจึงชอบแล้ว ศาลฎีกาแผนกคดีทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศเห็นพ้องด้วย อุทธรณ์ของจำเลยทั้งสิบสามในข้อนี้ฟังไม่ขึ้นอีกเช่นกัน
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นนี้ให้เป็นพับ

Share