แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
โจทก์นำน้ำมันปาล์มแข็งบริสุทธิ์เข้ามา โดยระบุพิกัดอัตราศุลกากรประเภทที่ 15.13 อัตราอากรร้อยละ 60 ในใบขนสินค้าขาเข้า พร้อมกับบันทึกโต้แย้งว่า สินค้าพิพาทจัดอยู่ในพิกัดอัตราศุลกากรประเภทที่ 15.12 ค อ้างว่าจำเป็นต้องยอมเสียภาษีอากรตามพิกัดดังกล่าว มิฉะนั้นจะไม่สามารถนำสินค้าออกมาได้เช่นนี้ เป็นเรื่องที่โจทก์ยินยอมเสียภาษีอากรเกินจำนวนไปกว่าที่โจทก์เห็นว่าต้องเสียจริง เพราะเหตุอันเกี่ยวกับชนิดและอัตราอากรสำหรับสินค้าพิพาทนั่นเอง มิใช่เป็นเรื่องเกี่ยวกับการประเมินภาษีอากรของเจ้าหน้าที่ ดังนั้น โจทก์จึงต้องฟ้องคดีภายในสองปีนับแต่วันที่นำของเข้า มิฉะนั้นคดีของโจทก์ขาดอายุความตามมาตรา 10 วรรคห้าแห่งพระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. 2469
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยคืนเงินค่าภาษีอากรที่เรียกเก็บจากโจทก์ไม่ถูกต้อง จำเลยให้การว่าเรียกค่าภาษีอากรที่โจทก์นำเข้าสินค้าพิพาทถูกต้องแล้ว และฟ้องโจทก์ขาดอายุความ ศาลภาษีอากรกลางพิพากษาให้จำเลยคืนเงินค่าภาษีอากรพร้อมดอกเบี้ย จำเลยอุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีภาษีอากรวินิจฉัยว่า “เห็นสมควรวินิจฉัยประเด็นเรื่องฟ้องโจทก์ขาดอายุความหรือไม่เสียก่อน ในประเด็นนี้ข้อเท็จจริงได้ความว่า โจทก์นำสินค้าพิพาทเข้ามาในราชอาณาจักรรวม 5 ครั้งเมื่อวันที่ 1 เมษายน 2524 วันที่ 5 เมษายน 2524 วันที่ 1 พฤษภาคม2524 วันที่ 16 ตุลาคม 2524 และวันที่ 11 มกราคม 2527 ปรากฏตามใบขนสินค้าขาเข้าและแบบแสดงรายการการค้า เอกสารหมาย ล.3ถึง ล. 7 ตามลำดับ ซึ่งโจทก์ระบุพิกัดสินค้าพิพาทไว้ในเอกสารดังกล่าวเป็นประเภทที่ 15.13 แต่โจทก์ได้บันทึกโต้แย้งว่าสินค้าพิพาทจัดอยู่ในพิกัดประเภทที่ 15.12 ค และขอสงวนสิทธิขอคืนภาษีอากรที่ได้ชำระไว้เกิน โจทก์นำสืบว่า โจทก์จำเป็นต้องยอมเสียภาษีอากรตามพิกัดดังกล่าวและยังได้วางเงินประกันไว้อีกตามที่เจ้าหน้าที่ของจำเลยกำหนด มิฉะนั้นโจทก์จะไม่สามารถนำสินค้าพิพาทออกมาได้ ต่อมาโจทก์ได้ติดต่อกับจำเลยอีกหลายครั้งขอให้วินิจฉัยพิกัดสินค้าพิพาทตามที่โจทก์ได้โต้แย้งไว้ แต่จำเลยคงยืนยันว่าสินค้าพิพาทจัดอยู่ในพิกัดประเภทที่ 15.13 ศาลฎีกาเห็นว่าเป็นเรื่องที่โจทก์ยินยอมเสียภาษีอากรเกินจำนวนไปกว่าที่โจทก์เห็นว่าต้องเสียจริง เพราะเหตุอันเกี่ยวกับชนิด และอัตราอากรสำหรับสินค้าพิพาทนั่นเอง มิใช่เรื่องเกี่ยวกับการประเมินภาษีอากรของเจ้าหน้าที่ของจำเลยแต่อย่างใด พระราชบัญญัติศุลกากรพ.ศ. 2469 มาตรา 10 วรรคห้า มีความหมายว่าสิทธิในการเรียกร้องหรือในการฟ้องคดีเพื่อเรียกคืนเงินอากรเพราะเหตุที่ได้เสียไว้เกินจำนวนที่พึงต้องเสียนั้น จะต้องฟ้องเสียภายในสองปีนับแต่วันที่นำของเข้า และถ้าเป็นการเรียกร้องหรือฟ้องคดีเพื่อขอคืนอากรเพราะเหตุอันเกี่ยวกับชนิด คุณภาพ ปริมาณ น้ำหนัก หรือมาตราแห่งของใด ๆ หรือเกี่ยวกับอัตราอากรหรือของใด ๆ นอกจากจะต้องเรียกร้องหรือฟ้องคดีภายในสองปีแล้ว กฎหมายยังบัญญัติไว้อีกว่าจะต้องแจ้งความไว้ต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ก่อนการส่งมอบว่าจะยื่นคำร้องด้วยกรณีของโจทก์ต้องตามบทบัญญัติมาตรา 10 วรรคห้า แห่งพระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. 2469 ดังกล่าว โจทก์จึงต้องฟ้องคดีภายในสองปีนับแต่วันที่นำของเข้า โจทก์ฟ้องคดีนี้เมื่อวันที่ 3 มิถุนายน 2530เป็นเวลาเกินกว่าสองปีนับแต่วันที่นำสินค้าพิพาทเข้าทุกรายการดังนั้น แม้โจทก์จะได้แจ้งความไว้ต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ก่อนส่งมอบว่าจะยื่นคำเรียกร้องขอคืนอากร คดีของโจทก์ก็ขาดอายุความที่กล่าวแล้วข้างต้นคำพิพากษาฎีกาที่ 2350/2520 และที่ 47/2521 ซึ่งโจทก์อ้างมาในคำแก้อุทธรณ์นั้น เป็นเรื่องภาษีสรรพากร มิใช่ภาษีศุลกากรซึ่งมีบทบัญญัติในเรื่องอายุความการใช้สิทธิเรียกร้องเงินค่าอากรคืนไว้โดยเฉพาะ เมื่อคดีโจทก์ขาดอายุความแล้วจึงไม่จำเป็นต้องวินิจฉัยในประเด็นข้ออื่นอีกที่ศาลภาษีอากรกลางพิพากษามานั้น ศาลฎีกาแผนกคดีภาษีอากรไม่เห็นพ้องด้วยอุทธรณ์ของจำเลยฟังขึ้น”
พิพากษากลับให้ยกฟ้อง