แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ผู้มีชื่อในโฉนดร่วมกับผู้อื่นฟ้องขอแบ่งที่ดินเฉพาะส่วนของคนจากผู้ที่ยึดถือครอบครองที่ดินผู้ครอบครองที่ดินต่อสู้ ว่าผู้มีชื่อในโฉนดคนอื่นเอาที่ดินนี้ตีใช้หนี้ตน ทางพิจารณาศาลฟังว่าไม่มีการตีใช้หนี้ แต่เห็นว่าการที่จะฟ้องขอแบ่งเฉพาะส่วนของโจทก์นั้นย่อมแบ่งให้ไม่ได้ จึงพิพากษายกฟ้อง ภายหลังผู้ครอบครองที่ดินเป็นโจกท์ฟ้องทายาทผู้มีชื่อในโฉนดคนหนึ่งขอให้ศาลแสดงว่า ที่พิพาทนี้เป็นกรรมสิทธิของผู้ครอบครองที่ดินทายาทผู้เป็นจำเลยต่อสู้ว่าผู้ครอบครองที่ดินไม่มีอำนาจนำคดีมาฟ้อง อีกเพราะเคยฟ้องกันมาแล้วและในคดีหลังนี้ผู้มีชื่อในโฉนดที่เคยเป็นโจทก์ฟ้องผู้ครอบครองก็ได้ร้องเข้ามาเป็นจำเลยร่วมจนศาลอนุญาตแล้วก็ตาม ศาลฎีกาก็เห็นว่าจะเอาข้อเท็จจริงในในคดีก่อนมารับฟังเป็นข้อเท็จจริงในคดีนี้ไม่ได้ เพราะโจทก์จำเลยในคดีนี้เป็นคู่กรณีคนใหม่และในคดีก่อนศาลยกฟ้อง เพราะเห็นว่าการฟ้องขอแบ่งเฉพาะส่วนของตนย่อมแบ่งให้ไม่ได้เป็นประเด็นสำคัญ การที่ผู้ครอบครองที่ดินมาฟ้องอ้างสิทธิในที่ดินนี้ทั้งแปลงประเด็นก็ไม่เหมือนกับคดีก่อนซึ่งพิพาทกันเฉพาะที่ดิน ส่วนของผู้มีชื่อในโฉนดผู้เป็นโจทก์ฟ้องเท่านั้น จึงจะยกเอาสำนวนก่อนมาผูกพันบังคับคู่ความคดีนี้ใหม่หาได้ไม่ ชอบที่ศาลจะสืบพยานฟังข้อเท็จจริงในสำนวนหลังนี้ต่อไป
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่าที่ดินเลขโฉนดที่ ๓๖๑๕ มีชื่อนางแปลก นางพยูน นายสวัสดิ์ นายเสวียน และนางจู๋เป็นผู้ถือกรรมสิทธิ นายแปลก นางจู๋ได้กู้เงินโจทก์แล้วภายหลังเอาที่ดินโฉนดที่ ๓๖๑๕ นี้ตีใช้หนี้ โจทก์ปกครองมากว่า ๑๐ ปีแล้ว บัดนี้นายสว่างจำเลยไปขอรับมรดกนางจู๋จากเจ้าพนักงานที่ดินโจทก์คัดค้าน เจ้าพนักงานให้โจทก์ฟ้องโจทก์จึงมาฟ้องขอให้ศาลแสดงกรรมสิทธิ
นายสว่างต่อสู้กรรมสิทธิ และอ้างว่าที่ดินพิพาทนี้นางพยูน นายสวัสดิ์ได้เคยเป็นโจทก์ฟ้องขอแบ่งส่วนของตนจากโจทก์ คดีถึงที่สุดแล้วโจทก์ไม่มีสิทธิฟ้องจำเลยอีก อ้างมาตรา ๑๔๔
นางพยูน นายสวัสดิ์ ยื่นคำร้องขอเข้ามา ศาลสั่งอนุญาตให้เข้ามาเป็นจำเลยร่วม
ศาลชั้นต้นเห็นว่านางพยูนและนายสวัสดิ์จำเลยในคดีนี้ได้เคยเป็นโจทก์ฟ้องนายผึ่งเป็นจำเลยในเรื่องที่ดินรายนี้ครั้ง หนึ่งแล้ว ตามสำนวนคดีแดงที่ ๑๒๑/๒๔๘๙ ซึ่งศาลอุทธรณ์ได้ชี้ขาดข้อเท็จจริงในคดีนั้นว่าที่ดินรายนี้นางพยูนนายสวัสดิ์มีกรรมสิทธิร่วมอยู่ด้วยการกู้เงินเป็นเรื่อง ของนางแปลกกับจำเลยในดดีนั้น โจทก์จะฟ้องเรียกเอาที่ดินรายนี้เป็นของโจทก์ทั้งแปลงไม่ได้ จึงพิพากษายกฟ้อง
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่าจะเอาข้อเท็จจริงในสำนวนคดีแดงที่ ๑๒๑/๒๔๘๙ มารับฟังเป็นข้อเท็จจริงในคดีนี้ไม่ได้เพราะโจทก์จำเลยในคดีนี้เป็นคู่กรณีใหม่ทั้งในคดีก่อนนั้นนางพยูน นายสวัสดิ์ เจ้าของร่วมในที่แปลงนี้ได้เป็นโจทก์ฟ้องเรียกที่ดินเฉพาะส่วนของตนและเหตุสำคัญที่ศาลยกฟ้องโจทก์ในคดีก่อนนั้นก็โดยอ้างว่า โจทก์มาฟ้องขอแบ่งเฉพาะส่วนของโจทก์ ย่อมแบ่งให้ไม่ได้แม้ในคดีก่อนศาลจะได้ชี้ขาดไว้ด้วยว่าไม่มีการเอาที่ดินมาตีใช้หนี้ให้แก่ฝ่ายจำเลยดังที่นายผึ้งอมร จำเลยในคดีก่อนได้ต่อสู้ไว้ก็ตาม ก็ไม่ใช่ประเด็นที่ศาลต้องถือเอาเป็นเหตุยกฟ้องโจทก์ในคดีนั้นอีกทั้งนายผึ้งอมรจำเลยในคดีนั้นก็ไม่จำต้องอุทธรณ์ฎีกาในประเด็นเรื่องตีใช้หนี้แต่ประการใด เพราะนายผึ้งอมรจำเลยในคดีนั้นเป็นฝ่ายชนะคดีน้นอยู่แล้วส่วนคดีนายผึ้งอมรมาเป็นโจทก์ฟ้องอ้างสิทธิในที่ดินนี้ทั้ง แปลง ประเด็นจึงไม่เหมือนกันจะยกเอาสำนวนก่อนมาผูกพันบังคับคู่ความในคดีใหม่นี้หาได้ไม่
จึงพิพากษายกคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ให้ศาลชั้นต้นเริ่มดำเนินคดีพิจารณาและพิพากษาใหม่ตามกระบวนความ