คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 275/2532

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

จำเลยที่ 3 เป็นผู้ครอบครองรถยนต์คันเกิดเหตุ ได้ให้จำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นลูกจ้างขับรถคันดังกล่าว แม้จำเลยที่ 3 จะนำรถไปประกอบการขนส่งในนามของจำเลยที่ 2 ซึ่งมีใบอนุญาตประกอบการขนส่งก็ตาม ก็ยังถือได้ว่า จำเลยที่ 1 เป็นลูกจ้างของจำเลยที่ 3
การที่จำเลยที่ 3 ใช้ให้จำเลยที่ 1 ลูกจ้างขับรถคันเกิดเหตุไปบรรทุกหินซึ่งเป็นกิจการในทางการที่จ้างของจำเลยที่ 3ในระหว่างทางแม้จำเลยที่ 1 จะรับจ้างบุคคลอื่นนำคนป่วยไปส่งโรงพยาบาลตามลำพังโดยไม่ได้ขออนุญาตจำเลยที่ 3 เสียก่อนก็ตาม แต่เมื่อการรับจ้างนั้นอยู่ในระหว่างที่จำเลยที่ 1กระทำการในทางการที่จ้างของจำเลยที่ 3 จำเลยที่ 3 จึงต้องร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 1 ในผลแห่งละเมิดที่จำเลยที่ 1 ได้กระทำไป
จำเลยที่ 3 ได้เช่าซื้อรถคันพิพาทจากบริษัท ช. แต่ยังชำระค่าเช่าซื้อไม่ครบกรรมสิทธิ์ในรถจึงยังเป็นของบริษัท ช.เมื่อบริษัท ช. ประกันภัยรถคันพิพาทไว้กับจำเลยที่ 4 โดยตกลงกันว่าการคุ้มครองผู้ขับขี่ จำเลยที่ 4 จะถือบุคคลใดซึ่งขับขี่รถยนต์โดยได้รับความยินยอมจากบริษัท ช.ผู้เอาประกันภัยเสมือนหนึ่งเป็นผู้เอาประกัภนัยเอง ซึ่งหมายความว่านอกจากรับผิดในกรณีที่ผู้เอาประกันภัยทำละเมิดต่อผู้อื่นแล้ว จำเลยที่ 4 ยังยอมรับผิดในกรณีที่ผู้อื่นเป็นผู้ทำละเมิดโดยผู้นั้นได้ขับขี่รถคันที่จำเลยที่ 4 รับประกันภัยไว้โดยความยินยอมของผู้เอาประกันภัย จำเลยที่ 4 จึงต้องร่วมรับผิดด้วย.(ที่มา-ส่งเสริม)

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์รับประกันภัยรถยนต์บรรทุกหมายเลขทะเบียน ร.บ. 15552 ไว้จากนายหงำ ชิงชัย ในประเภทใช้ความเสียหายโดยสิ้นเชิง จำเลยที่ 2 และที่ 3 ร่วมกันเป็นเจ้าของผู้ครอบครองรถยนต์บรรทุกสิบล้อหมายเลขทะเบียน น.ฐ. 25891 และได้จ้างจำเลยที่ 1 เป็นผู้ขับขี่ประจำ และมีผลประโยชน์ร่วมกันในกิจการที่ใช้ให้จำเลยที่ 1 ขับรถยนต์คันดังกล่าวในขณะเกิดเหตุ จำเลยที่ 4 ได้รับประกันภัยค้ำจุนรถยนต์บรรทุกสิบล้อคันดังกล่าวและขณะเกิดเหตุอยู่ในระหว่างอายุสัญญาประกันภัยจำเลยที่ 1ขับรถยนต์บรรทุกสิบล้อหมายเลขทะเบียน น.ฐ. 25891 ในทางการที่จ้างของจำเลยที่ 2 และที่ 3 ด้วยความประมาทเป็นเหตุให้ชนกับรถยนต์บรรทุกคันหมายเลขทะเบียน ร.บ. 15552 ซึ่งนายนครชิงชัย ขับมาด้วยความระมัดระวังถูกต้องตามกฎหมาย ด้วยแรงชนดังกล่าวทำให้รถยนต์หมายเลขทะเบียน ร.บ. 15552 กระเด็นไปชนรถจักรยานสามล้อกับร้านขายกาแฟ และรถบรรทุกหมายเลขทะเบียนน.ฐ. 25891 เลยไปชนรถจักรยานสามล้อกับร้านค้าอีกด้วย ทำให้มีคนตายและบาดเจ็บ กับทรัพย์สินของผู้อื่นเสียหาย รถบรรทุกหมายเลขทะเบียน ร.บ. 15552 ได้รับความเสียหายมาก โจทก์ได้จัดการซ่อมตามสัญญากรมธรรม์ประกันภัย และจ่ายค่าซ่อมไป 34,000 บาทโจทก์จึงรับช่วงสิทธิในการเรียกค่าเสียหายจากจำเลยทั้งสี่ขอให้ศาลพิพากษาบังคับให้จำเลยทั้งสี่ร่วมกันหรือแทนกันชำระเงินพร้อมดอกเบี้ยจำนวน 36,550 บาทแก่โจทก์ กับดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีในต้นเงิน 34,000 บาท นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยที่ 1 ขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา
จำเลยที่ 2 ขาดนัดยื่นคำให้การและไม่สืบพยาน
จำเลยที่ 3 ให้การว่า จำเลยที่ 3 เช่าซื้อรถยนต์บรรทุกหมายเลขทะเบียน น.ฐ. 25891 จากห้างหุ้นส่วนจำกัดสุวิทย์มอเตอร์จำเลยที่ 1 ไม่ใช่ลูกจ้างกระทำการในทางการที่จ้างของจำเลยที่ 3 เหตุเกิดจากความประมาทของนายนคร ชิงชัย ค่าซ่อมรถบรรทุกหมายเลขทะเบียน ร.บ. 15552 ไม่เกิน 10,000 บาท โจทก์ไม่มีสิทธิเรียกดอกเบี้ยนับแต่วันละเมิด ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ 4 ให้การว่า จำเลยที่ 4 รับประกันภัยรถยนต์บรรทุกหมายเลขทะเบียน น.ฐ. 25891 ไว้จากผู้มีชื่อ ไม่ได้รับประกันภัยไว้จากจำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 ต่อมาผู้เอาประกันภัยโอนขายรถยนต์ดังกล่าวให้บุคคลอื่นโดยไม่ได้แจ้งแก่จำเลยที่ 4 ในขณะเกิดเหตุรถยนต์คันนี้ไม่ได้ใช้ในกิจการของผู้เอาประกันภัยจำเลยที่ 4 จึงไม่ต้องรับผิด ขอให้ยกฟ้อง
เมื่อสืบพยานโจทก์เสร็จแล้ว ศาลชั้นต้นสั่งงดสืบพยานจำเลยที่ 3 และที่ 4 แล้วพิพากษาให้จำเลยที่ 1 ที่ 3 และที่ 4ร่วมกันหรือแทนกันใช้เงินแก่โจทก์ 35,550 บาท พร้อมดอกเบี้ยให้ยกฟ้องจำเลยที่ 2
จำเลยที่ 3 และที่ 4 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้ยกคำพิพากษาของศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้นสืบพยานจำเลยที่ 3 และที่ 4 แล้วมีคำพิพากษาใหม่
ศาลชั้นต้นสืบพยานจำเลยที่ 3 และที่ 4 แล้วพิพากษาให้จำเลยที่ 1 และที่ 2 ร่วมกันใช้เงินแก่โจทก์ 34,000 บาท กับดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จให้ยกฟ้องจำเลยที่ 2 และที่ 4
โจทก์อุทธรณ์ว่าจำเลยที่ 2 และที่ 4 ต้องรับผิดร่วมด้วย
จำเลยที่ 3 อุทธรณ์ว่าไม่ต้องรับผิด
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้องจำเลยที่ 3 ด้วยนอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ฎีกา ในระหว่างส่งสำเนาฎีกาให้จำเลยที่ 2 ทนายโจทก์ยื่นคำแถลงว่าจำเลยที่ 2 ถึงแก่กรรมแล้ว โจทก์ไม่ประสงค์ที่จะดำเนินคดีกับจำเลยที่ 2 อีกต่อไปซึ่งแปลความหมายได้ว่าโจทก์ยื่นคำบอกกล่าวเป็นหนังสือขอถอนฎีกาเฉพาะจำเลยที่ 2 ศาลฎีกาอนุญาตให้จำหน่ายคดีสำหรับจำเลยที่ 2 ออกจากสารบบความของศาลฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ‘…ในชั้นนี้คงมีปัญหาว่า จำเลยที่ 3และที่ 4 จะต้องร่วมกันรับผิดชดใช้ค่าเสียหายให้แก่โจทก์ตามที่โจทก์ได้รับช่วงสิทธิหรือไม่…
พิเคราะห์แล้ว ปัญหาที่ว่า จำเลยที่ 3 เป็นนายจ้างของจำเลยที่ 1 หรือไม่นั้นจำเลยที่ 3 เบิกความว่า จำเลยที่ 3 เป็นผู้ครอบครองรถคันหมายเลขทะเบียน น.ฐ. 25891 ได้ให้จำเลยที่ 1ซึ่งเป็นลูกจ้างขับรถคันนี้และตนได้นำรถไปประกอบการขนส่งในนามของจำเลยที่ 2 เพราะตนไม่มีใบอนุญาตประกอบการขนส่ง จำเลยที่ 2 มีชื่อในใบอนุญาตประกอบการขนส่ง ข้อเท็จจริงจึงรับฟังได้ว่า จำเลยที่ 1 เป็นลูกจ้างของจำเลยที่ 3
คดีมีปัญหาต่อไปว่า จำเลยที่ 1 ขับรถคันพิพาทในทางการที่จ้างหรือไม่ จำเลยที่ 3 เบิกความรับว่าวันเกิดเหตุจำเลยที่ 1ขับรถคันเกิดเหตุออกจากกรุงเทพมหานครเพื่อไปบรรทุกหินที่เขางู จังหวัดราชบุรี ตามลำพังคนเดียว เมื่อขับรถไปถึงตำบลท่ามะขาม อำเภอโพธาราม ใกล้จังหวัดราชบุรี นายสายันต์ได้ว่าจ้างจำเลยที่ 1 ให้ไปรับนายพร้อมที่บ้านท่ามะขามไปส่งโรงพยาบาลเพราะนายพร้อมถูกรถชน จำเลยที่ 1 จึงขับรถไปรับนายพร้อมไปส่งที่โรงพยาบาลราชบุรีตามที่รับจ้าง เมื่อไปถึงสี่แยกตลาดราชบุรีได้ชนกับรถบรรทุก 6 ล้อ คันหมายเลขทะเบียน ร.บ. 15552 ของนายหงำ ชิงชัย จนเป็นเหตุให้ได้รับความเสียหายนั้น เห็นว่า การที่จำเลยที่ 3 ใช้ให้จำเลยที่ 1ขับรถคันพิพาทไปบรรทุกหินที่เขางู ซึ่งเป็นกิจการในทางการที่จ้างของจำเลยที่ 3 ในระหว่างที่จำเลยที่ 1 ขับรถไปบรรทุกหินตามทางการที่จ้างนั้น ถึงแม้จำเลยที่ 1 จะรับจ้างนายสายันต์นำนายพร้อมไปส่งโรงพยาบาลตามลำพังโดยมิได้ขออนุญาตจากจำเลยที่ 3 ซึ่งเป็นนายจ้างเสียก่อนก็ตาม แต่เมื่อการรับจ้างนั้นอยู่ในระหว่างที่จำเลยที่ 1 กระทำการในทางการที่จ้างของจำเลยที่ 3 จึงถือได้ว่าจำเลยที่ 1กระทำไปในทางการที่จ้างของจำเลยที่ 3 เมื่อจำเลยที่ 1ขับรถโดยประมาทไปชนรถบรรทุก 6 ล้อ ของนายหงำ จนได้รับความเสียหายอันเป็นการทำละเมิดต่อนายหงำ จำเลยที่ 3 จึงต้องร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 1 ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่นายหงำ
คดีมีปัญหาต่อไปว่า จำเลยที่ 4 จะต้องชดใช้ค่าสินไหมทดแทนตามกรมธรรม์ประกันภัยเอกสารหมาย ล. 1 หรือไม่
ข้อเท็จจริงที่ไม่โต้แย้งกันเป็นอันยุติรับฟังได้ว่ารถคันหมายเลขทะเบียน น.ฐ. 25891 นั้น บริษัทเชสแมนฮัตตันอินเวสท์เมนท์ จำกัด เป็นผู้ให้เช่าซื้อ จำเลยที่ 3ได้เช่าซื้อรถคันดังกล่าวและยังชำระค่าเช่าซื้อไม่ครบกรรมสิทธิ์ในรถยังคงเป็นของบริษัทผู้ให้เช่าซื้ออยู่ นายนพดล ศรีชยันดร หัวหน้ากฎหมายของจำเลยที่ 4 เบิกความว่า รถคันพิพาทได้ประกันภัยไว้กับจำเลยที่ 4 โดยประกันภัยชั้นหนึ่งแต่เอกสารหมาย ล. 1 ที่จำเลยที่ 4 ส่งต่อศาลนั้นปรากฏในแผ่นที่ 8 ว่าด้วยหมวดที่ 2 สัญญาคุ้มครองความรับผิดต่อบุคคลภายนอก ตามข้อ 2.8 ซึ่งกล่าวถึงการยกเว้นบุคคลภายนอกว่าการประกันภัยตามสัญญาข้อ 2.1 ไม่คุ้มครองความบาดเจ็บหรือมรณะของผู้เอาประกันภัยหรือบุคคลในครอบครัวซึ่งอยู่ด้วยกับผู้เอาประกันภัย ลูกจ้างของผู้เอาประกันภัยที่เกิดขึ้นในระหว่างทางการที่จ้าง ฯลฯ อันมีลักษณะเป็นการรับประกันภัยในความเสียหายที่จะเกิดขึ้นแก่บุคคลที่สาม มิใช่การประกันภัยชั้นหนึ่งซึ่งคุ้มครองความเสียหายของผู้เอาประกันภัยโดยสิ้นเชิง เมื่อจำเลยที่ 4 ส่งเอกสารที่แสดงให้เห็นได้ว่าไม่ตรงกับที่จำเลยที่ 4 ได้รับประกันภัย จึงส่อแสดงถึงความไม่สุจริตของจำเลยที่ 4 ที่จะหลีกเลี่ยงความรับผิดตามกรมธรรม์ประกันภัยนั้น ถึงแม้เอกสารแผ่นที่ 8 ดังกล่าว จะไม่ตรงกับประเภทของการประกันภัยที่ผู้เอาประกันภัยได้ทำไว้กับจำเลยที่ 4 ก็ตาม แต่เมื่อข้อ 2.7 ของเอกสารดังกล่าวมีข้อความว่า การคุ้มครองผู้ขับขี่ บริษัทจะถือบุคคลใดซึ่งขับขี่รถยนต์โดยได้รับความยินยอมจากผู้เอาประกันภัยเสมือนหนึ่งเป็นผู้เอาประกันภัยเองซึ่งหมายความว่านอกจากรับผิดในกรณีที่ผู้เอาประกันภัยทำละเมิดต่อผู้อื่นแล้ว จำเลยที่ 4ยังยอมรับผิดในกรณีที่ผู้เอาประกันภัยมิได้เป็นผู้ทำละเมิดแต่ผู้อื่นเป็นผู้ทำละเมิดโดยผู้นั้นได้ขับขี่รถคันที่จำเลยที่ 4 รับประกันภัยไว้โดยความยินยอมของผู้เอาประกันภัยเมื่อเป็นเช่นนี้แม้จำเลยที่ 4 จะถือว่าบริษัทเชสแมนฮัตตันอินเวสท์เมนท์ จำกัดเป็นผู้เอาประกันภัยตามที่ปรากฏชื่อในกรมธรรม์ประกันภัยดังที่จำเลยที่ 4 ต่อสู้คดีก็ตามแต่เมื่อบริษัทเชสแมนฮัตตันอินเวสท์เมนท์ จำกัด ได้ให้จำเลยที่ 3เช่าซื้อรถคันที่ประกันภัยไว้กับจำเลยที่ 4 จึงถือได้ว่าบริษัทเชสแมนฮัตตันอินเวสท์เมนท์ จำกัด ยินยอมให้จำเลยที่ 3ขับขี่รถคันนั้น และเมื่อจำเลยที่ 3 ได้ให้จำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นลูกจ้างเป็นผู้ขับขี่ในทางการที่จ้างจึงถือได้ว่าบริษัทเชสแมนฮัตตันอินเวสท์เมนท์ จำกัด ยินยอมให้จำเลยที่ 1ขับขี่ด้วยเช่นเดียวกัน เมื่อจำเลยที่ 1 ขับขี่รถคันที่จำเลยที่ 4 รับประกันภัยไว้และไปทำละเมิดต่อผู้อื่น จำเลยที่ 4 จึงต้องรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่โจทก์ซึ่งเป็นผู้รับช่วงสิทธิร่วมกับจำเลยที่ 3 ฎีกาโจทก์ข้อนี้ฟังขึ้นและไม่จำต้องวินิจฉัยฎีกาโจทก์ที่เกี่ยวกับความรับผิดของจำเลยที่ 4 ในเหตุอื่นอีกต่อไป’
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยที่ 3 และที่ 4 ร่วมกันชดใช้ค่าสินไหมทดแทนจำนวน 34,000 บาท พร้อมทั้งดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จให้แก่โจทก์และให้จำเลยที่ 3 และที่ 4 ร่วมกันชดใช้ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสามศาลแทนโจทก์โดยกำหนดค่าทนายความให้เป็นเงิน 3,300 บาทนอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์.

Share