แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
ศาลชั้นต้นสั่งคำฟ้องอุทธรณ์ของโจทก์ว่า ให้โจทก์นำส่งสำเนาอุทธรณ์ให้แก่จำเลยภายใน 15 วัน โจทก์มิได้นำส่งสำเนาอุทธรณ์ตามที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่ง ดังนี้ เป็นการทิ้งฟ้องตามป.วิ.พ. มาตรา 174(2).
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยบุกรุกเข้าไปในที่ดินของโจทก์ ขอให้จำเลยรื้อรั้วและสิ่งปลูกสร้างออกจากที่ดินของโจทก์ ให้ที่ดินอยู่ในสภาพเดิม ห้ามมิให้จำเลยและบริวารเข้าไปยุ่งเกี่ยวในที่ดินของโจทก์และให้จำเลยใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ปีละ 600 บาท นับแต่วันฟ้องจนกว่าจำเลยจะได้รื้อรั้วและสิ่งปลูกสร้างออกจากที่ดินของโจทก์
จำเลยให้การและฟ้องแย้งว่าที่ดินตามฟ้อง จำเลยเป็นผู้มีสิทธิครอบครอง โจทก์และนายเฉลิม บุญแจ้ง ได้ร่วมกันรื้อรั้วและตัดต้นไม้ในที่ดินที่จำเลยครอบครองทำให้รั้วเสียหาย ขอให้โจทก์และนายเฉลิม บุญแจ้ง ชดใช้ค่าเสียหายเป็นเงิน 4,000 บาทพร้อมดอกเบี้ย
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้รับฟ้องแย้งของจำเลยเฉพาะส่วนที่ฟ้องโจทก์ไว้พิจารณา
โจทก์ให้การแก้ฟ้องแย้งว่า ต้นไม้ที่โจทก์ตัดเป็นต้นไม้ของโจทก์ ส่วนรั้วตามฟ้องแย้งโจทก์มิได้รื้อออกไป
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้ โจทก์ชำระค่าเสียหายเป็นเงิน 2,000 บาทพร้อมดอกเบี้ย กับให้โจทก์ชำระค่าฤชาธรรมเนียมโดยกำหนดค่าทนายความ3,000 บาท แทนจำเลย ฟ้องโจทก์ให้ยก
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 มีคำสั่งจำหน่ายคดีออกจากสารบบความ
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ศาลชั้นต้นมีคำสั่งอย่างชัดแจ้งในคำฟ้องอุทธรณ์ของโจทก์ในวันที่ยื่นคำฟ้องอุทธรณ์ว่า ให้โจทก์นำส่งสำเนาอุทธรณ์ให้แก่จำเลยภายใน 15 วัน มิฉะนั้นจะถือว่าทิ้งฟ้องอุทธรณ์หลังจากโจทก์ยื่นคำฟ้องอุทธรณ์แล้ว ถึง 28 วัน ปรากฏตามรายงานเจ้าหน้าที่ว่า โจทก์มิได้ดำเนินการให้มีการส่งสำเนาอุทธรณ์ตามที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่ง เช่นนี้เป็นที่เห็นได้ว่าโจทก์เพิกเฉยไม่ดำเนินคดีภายในระยะเวลาที่ศาลชั้นต้นเห็นสมควรกำหนด ที่โจทก์อ้างมาในฎีกาว่าทนายโจทก์ได้วางเงินค่าส่งสำเนาคำฟ้องให้เจ้าหน้าที่แล้วเข้าใจว่าเจ้าหน้าที่ลืมนั้นเป็นการกล่าวอ้างลอย ๆรับฟังว่าเป็นความจริงมิได้ กรณีของโจทก์ถือว่าเป็นการทิ้งคำฟ้องต้องด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 174(2)ศาลอุทธรณ์ภาค 2 สั่งจำหน่ายคดี จึงชอบแล้ว…”
พิพากษายืน.