คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2747/2531

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

คดีมีประเด็นว่าโจทก์เป็นลูกจ้างของจำเลยหรือไม่ ที่โจทก์จำเลยแถลงรับข้อเท็จจริงกันว่า โจทก์ซึ่งเป็นลูกจ้างของบริษัท ข.เป็นผู้รักษาทรัพย์สินของบริษัทดังกล่าวเนื่องจากจำเลยนำยึดเพื่อขายทอดตลาดเอาเงินชำระหนี้และจำเลยได้จ่ายเงินเดือนให้โจทก์เป็นค่ารักษาทรัพย์นั้น เป็นการแถลงรับกันในข้อเท็จจริงที่เกี่ยวกับประเด็นดังกล่าว ซึ่งเป็นข้อเท็จจริงที่เพียงพอจะวินิจฉัยได้แล้วว่า โจทก์เป็นลูกจ้างของจำเลยหรือไม่ แม้โจทก์จะมีพยานมาสืบข้อเท็จจริงอย่างใดก็หาอาจรับฟังนอกเหนือไปจากข้อเท็จจริงที่โจทก์จำเลยแถลงรับกันไม่ ที่ศาลแรงงานกลางสั่งงดสืบพยานจึงชอบแล้ว เมื่อเดือนสิงหาคม 2528 จำเลยฟ้องบริษัท ข. ให้ชำระหนี้กรรมการผู้จัดการหลบหนี และบริษัท ข. หยุดกิจการ จำเลยให้โจทก์ซึ่งเป็นยามรักษาการณ์ปฏิบัติหน้าที่ต่อไป โดยจ่ายเงินเป็นรายเดือนให้ ต่อมาจำเลยนำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดทรัพย์ของบริษัท ข. เมื่อวันที่ 19 สิงหาคม 2529 เจ้าพนักงานบังคับคดีมอบให้โจทก์เป็นผู้รักษาทรัพย์อีก ดังนี้จำเลยเพียงแต่ตกลงให้โจทก์รับหน้าที่เฉพาะอย่าง คือ การดูแลทรัพย์สินของบริษัท ข.มิให้สูญหายหรือเสียหาย ซึ่งหน้าที่ดังกล่าวไม่ใช่งานของจำเลยโดยตรง ทั้งโจทก์มิได้อยู่ในการบังคับบัญชาของจำเลย เมื่อมีการยึดทรัพย์สินของบริษัท ข. ขายทอดตลาด เจ้าพนักงานบังคับคดีมอบให้โจทก์เป็นผู้รักษาทรัพย์ก็เป็นการมอบตามอำนาจและหน้าที่แม้จำเลยจะให้เงินเดือนแก่โจทก์จำนวนเดิมก็ตาม ยังถือไม่ได้ว่าจำเลยได้จ้างโจทก์ โจทก์จึงไม่ใช่ลูกจ้างของจำเลย

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นลูกจ้างประจำของจำเลยถูกจำเลยเลิกจ้างโดยไม่มีความผิด ขอให้จำเลยจ่ายสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า ค่าชดเชย ค่าทำงานในวันหยุดประจำสัปดาห์ ค่าทำงานในวันหยุดตามประเพณีและค่าจ้างสำหรับวันหยุดพักผ่อนประจำปีให้แก่โจทก์ จำเลยให้การว่าโจทก์ไม่ได้เป็นลูกจ้างของจำเลยแต่เป็นลูกจ้างของบริษัทขอนแก่นอาหารกระป๋องลับแล จำกัดลูกหนี้ตามคำพิพากษาของจำเลย ทำหน้าที่เป็นยามเฝ้ารักษาโรงงานของบริษัทจนกว่าจำเลยจะยึดโรงงานและขายทอดตลาดเสร็จสิ้นโดยจำเลยเป็นผู้จ่ายเงินเดือนให้แก่โจทก์ ต่อมาเมื่อเจ้าพนักงานบังคับคดียึดโรงงานขายทอดตลาด และผู้ซื้อได้ขนย้ายทรัพย์สินไปแล้ว จำเลยจึงงดจ่ายเงินให้แก่โจทก์ ศาลแรงงานกลางสั่งงดสืบพยานแล้วพิพากษายกฟ้อง โจทก์อุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานวินิจฉัยว่า “คดีมีข้อวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของโจทก์ที่ศาลแรงงานกลางสั่งรับเป็นอุทธรณ์ 2 ข้อคือ คำสั่งของศาลแรงงานกลางที่ให้งดสืบพยานชอบหรือไม่ และตามข้อเท็จจริงที่โจทก์จำเลยแถลงรับกัน โจทก์เป็นลูกจ้างของจำเลยหรือไม่ ที่ศาลแรงงานกลางสั่งงดสืบพยานเป็นคำสั่งที่ชอบหรือไม่นั้น เห็นว่า คดีนี้โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นลูกจ้างของจำเลยต่อมาจำเลยเลิกจ้างโจทก์ ขอให้บังคับให้จำเลยจ่ายสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า ค่าชดเชย ค่าทำงานในวันหยุดและค่าจ้างสำหรับวันหยุดพักผ่อนประจำปี จำเลยให้การปฏิเสธว่าโจทก์มิได้เป็นลูกจ้างของจำเลย คดีมีประเด็นว่า โจทก์เป็นลูกจ้างของจำเลยหรือไม่ ที่โจทก์จำเลยแถลงรับข้อเท็จจริงกันว่าโจทก์ซึ่งเป็นลูกจ้างบริษัทขอนแก่นอาหารกระป๋องลับแล จำกัดเป็นผู้รักษาทรัพย์สินของบริษัทดังกล่าวที่ถูกจำเลยนำยึดเพื่อขายทอดตลาดเอาเงินชำระหนี้ และจำเลยได้จ่ายเงินเดือนให้โจทก์เป็นค่ารักษาทรัพย์อย่างไรนั้น เป็นการแถลงรับกันในข้อเท็จจริงที่เกี่ยวกับประเด็นดังกล่าว ซึ่งข้อเท็จจริงดังกล่าวเป็นข้อที่จะวินิจฉัยได้แล้วว่า โจทก์เป็นลูกจ้างของจำเลยหรือไม่แม้โจทก์จะมีพยานมาสืบข้อเท็จจริงอย่างใดก็หาอาจรับฟังนอกเหนือไปจากข้อเท็จจริงที่โจทก์จำเลยแถลงรับกันได้ไม่ที่ศาลแรงงานกลางสั่งงดสืบพยานจึงชอบแล้ว อุทธรณ์ของโจทก์ในข้อนี้ฟังไม่ขึ้น ส่วนประเด็นที่ว่าโจทก์เป็นลูกจ้างของจำเลยหรือไม่นั้น ข้อเท็จจริงได้ความว่าโจทก์เป็นลูกจ้างของบริษัทขอนแก่นอาหารกระป๋องลับแล จำกัด ซึ่งมีนายลี สาริพันธ์เป็นกรรมการผู้จัดการ เมื่อประมาณเดือนสิงหาคม 2528 จำเลยได้ฟ้องบริษัทดังกล่าวต่อศาลจังหวัดขอนแก่น ให้ชำระหนี้เป็นเงิน105,680,147.89 บาท นายลีหลบหนีหยุดกิจการ ไม่ได้ควบคุมดูแลโรงงานอาหารกระป๋องซึ่งโจทก์กับนายบุญธรรม สอนบุญทองลูกจ้างทำหน้าที่เป็นยามรักษาการณ์ โจทก์กับนายบุญธรรมไม่ได้รับเงินเดือนมาหลายเดือนแล้ว จำเลยเกรงว่าโจทก์กับนายบุญธรรมจะละทิ้งหน้าที่ดูแลโรงงาน อันเป็นทรัพย์สินของลูกหนี้จำเลย จำเลยจึงเสนอให้คนทั้งสองปฏิบัติหน้าที่ยามในฐานะลูกจ้างบริษัทดังกล่าวต่อไป โดยจำเลยจะให้เงินเป็นรายเดือนคนละ 2,060 บาท จนกว่าทรัพย์สินดังกล่าวจะถูกยึดและขายทอดตลาดได้ตามหมายบังคับคดี ต่อมาเมื่อวันที่ 19 สิงหาคม 2529 ผู้แทนจำเลยได้นำเจ้าพนักงานบังคับคดีทำการยึดทรัพย์คือ ที่ดินพร้อมทั้งสิ่งปลูกสร้าง และเครื่องอุปกรณ์ของบริษัทขอนแก่นอาหารกระป๋องลับแล จำกัด เพื่อขายทอดตลาด ทรัพย์ที่ถูกยึดดังกล่าวเจ้าพนักงานบังคับคดีได้มอบให้โจทก์กับนายบุญธรรมเป็นผู้รักษาทรัพย์ตามรายงานการยึดทรัพย์ ลงวันที่ 19 สิงหาคม 2529ได้ความดังกล่าว เห็นว่า จำเลยเพียงแต่ตกลงให้โจทก์ซึ่งเป็นลูกจ้างของบริษัทขอนแก่นอาหารกระป๋องลับแล จำกัด ปฏิบัติหน้าที่เป็นยามในฐานะลูกจ้างของบริษัทดังกล่าวต่อไป เนื่องจากเมื่อบริษัทดังกล่าวถูกจำเลยฟ้อง นายลีเป็นกรรมการผู้จัดการหลบหนี หยุดกิจการ โจทก์กับนายบุญธรรมไม่ได้รับเงินเดือนมาหลายเดือนแล้ว จำเลยเกรงว่า โจทก์จะละทิ้งหน้าที่ในการดูแลโรงงานซึ่งเป็นทรัพย์สินของลูกหนี้ทำให้จำเลยซึ่งเป็นเจ้าหนี้ของบริษัทดังกล่าวต้องเสียหาย จึงเป็นการมอบให้โจทก์รับทำหน้าที่เฉพาะอย่าง คือการดูแลทรัพย์สินของบริษัทขอนแก่นอาหารกระป๋องลับแลจำกัด มิให้สูญหายหรือเสียหาย ซึ่งหน้าที่ดังกล่าวมิใช่งานของจำเลยโดยตรง ทั้งโจทก์ก็มิได้อยู่ในการบังคับบัญชาของจำเลยและไม่ปรากฏว่า จำเลยได้ปฏิบัติต่อโจทก์อย่างเป็นลูกจ้างโจทก์จึงมิได้เป็นลูกจ้างของจำเลย และต่อมาผู้แทนจำเลยได้นำเจ้าพนักงานบังคับคดีทำการยึดทรัพย์คือ ที่ดินพร้อมทั้งสิ่งปลูกสร้างและเครื่องอุปกรณ์ของบริษัทขอนแก่นอาหารกระป๋องลับแลจำกัด เพื่อขายทอดตลาด ทรัพย์ที่ถูกยึดดังกล่าว เจ้าพนักงานบังคับคดีได้มอบให้โจทก์และนายบุญธรรมเป็นผู้รักษาทรัพย์ก็เห็นได้ว่าโจทก์เป็นผู้ที่เจ้าพนักงานบังคับคดีมอบให้เป็นผู้รักษาทรัพย์ที่เจ้าพนักงานบังคับคดียึดไว้ตามอำนาจหน้าที่แม้จำเลยจะให้เงินเดือนแก่โจทก์เท่าที่โจทก์ได้รับอยู่แต่เดิมก็ตามยังถือไม่ได้ว่าจำเลยได้จ้างโจทก์ ที่ศาลแรงงานกลางวินิจฉัยว่าโจทก์มิใช่ลูกจ้างของจำเลยชอบแล้ว”
พิพากษายืน

Share