แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
การที่ศาลชั้นต้นเห็นว่าโจทก์ร่วมและจำเลยได้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความกัน และศาลชั้นต้นได้พิพากษาตามยอม คดีถึงที่สุดแล้ว ทำให้หนี้ที่จำเลยได้ออกเช็คเพื่อใช้เงินนั้นได้สิ้นผลผูกพันไปก่อนศาลมีคำพิพากษาถึงที่สุด คดีจึงเป็นอันเลิกกันตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2534 มาตรา 7สิทธิของโจทก์และโจทก์ร่วมในการนำคดีมาฟ้องย่อมระงับ ไปตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 39 จึงมีคำสั่งให้จำหน่ายคดีออกเสียจากสารบบความเมื่อศาลอุทธรณ์พิพากษายืน ย่อมมีผลเท่ากับว่า ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องโจทก์และโจทก์ร่วมจึงต้องห้ามมิให้คู่ความฎีกา ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 220
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยออกเช็คธนาคารกรุงไทย จำกัดสาขาพยัคฆภูมิพิสัย สั่งจ่ายเงินจำนวน 480,000 บาทลงวันที่ 25 กุมภาพันธ์ 2538 มอบแก่ห้างหุ้นส่วนจำกัดสมพงษ์การไฟฟ้าโคราช โดยนางสาวศรีธนพร ไกรเลิศสกุล ผู้เสียหาย เพื่อชำระหนี้ค่าซื้ออุปกรณ์ไฟฟ้า และค่าจ้างแรงงานติดตั้งอุปกรณ์ไฟฟ้าที่มหาวิทยาลัยขอนแก่นที่มีอยู่จริง และบังคับได้ตามกฎหมายต่อมาผู้เสียหายนำเช็คดังกล่าวไปยื่นต่อธนาคารไทยพาณิชย์จำกัด สาขาถนนมุขมนตรี นครราชสีมา เพื่อเรียกเก็บเงินจากธนาคารเจ้าของเช็คพิพาท ธนาคารเจ้าของเช็คปฏิเสธการจ่ายเงินโดยอ้างว่ายังไม่มีการตกลงกับธนาคาร ทั้งนี้จำเลยได้ออกเช็คโดยเจตนาจะไม่ให้มีการใช้เงินตามเช็ค ออกเช็คให้ใช้เงินจำนวนสูงกว่าจำนวนเงินที่มีอยู่ในบัญชีอันพึงให้ใช้ได้ในขณะที่ออกเช็คนั้น
จำเลยให้การปฏิเสธ
ระหว่างพิจารณา ห้างหุ้นส่วนจำกัดสมพงษ์การไฟฟ้าโคราชผู้เสียหายยื่นคำร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ ศาลชั้นต้นอนุญาต
ศาลชั้นต้นเห็นว่า มูลหนี้ตามเช็คที่โจทก์อาศัยเป็นมูลฟ้องจำเลยเป็นมูลหนี้เดียวกันกับที่โจทก์ร่วมฟ้องจำเลยเป็นคดีแพ่งเมื่อโจทก์ร่วมและจำเลยตกลงทำสัญญาประนีประนอมยอมความกันในคดีแพ่ง และศาลได้มีคำพิพากษาถึงที่สุดแล้ว จึงมีผลทำให้มูลหนี้ตามเช็คที่จำเลยได้ออกเช็คเพื่อใช้เงินนั้นสิ้นผลผูกพันไปก่อนที่ศาลจะมีคำพิพากษาถึงที่สุดในคดีอาญานี้ คดีจึงเป็นอันเลิกกันตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็คพ.ศ. 2534 มาตรา 7 สิทธินำคดีอาญามาฟ้องจึงเป็นอันระงับไปตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 39(3)มีคำสั่งให้จำหน่ายคดีออกเสียจากสารบบความ
โจทก์ร่วมอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืน
โจทก์ร่วมฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า การที่ศาลชั้นต้นเห็นว่าโจทก์ร่วมและจำเลยได้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความกัน และศาลชั้นต้นได้พิพากษาตามยอม คดีถึงที่สุดแล้ว ทำให้หนี้ที่จำเลยได้ออกเช็คเพื่อใช้เงินนั้นได้สิ้นผลผูกพันไปก่อนศาลมีคำพิพากษาถึงที่สุดคดีจึงเป็นอันเลิกกันตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2534 มาตรา 7 สิทธิของโจทก์และโจทก์ร่วมในการนำคดีมาฟ้องย่อมระงับไปตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 39 จึงมีคำสั่งให้จำหน่ายคดีออกเสียจากสารบบความ เมื่อศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืนย่อมมีผลเท่ากับว่าศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายกฟ้องโจทก์และโจทก์ร่วมจึงต้องห้ามมิให้คู่ความฎีกา ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 220 ศาลชั้นต้นสั่งรับฎีกาของโจทก์ร่วมมาโดยไม่ชอบ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้
พิพากษายกฎีกาโจทก์ร่วม