คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1117/2541

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 193/34 มิได้บัญญัติเกี่ยวกับเรื่องชำรุดบกพร่องไว้ ทั้งฟ้องโจทก์คดีนี้เป็นเรื่องเรียกมัดจำคืนเพราะเหตุที่จำเลยซึ่งเป็นผู้ประกอบการเป็นธุระจัดหาสินค้าดินสอสีรายพิพาทให้แก่โจทก์โดยได้รับผลประโยชน์ตอบแทน แต่จำเลยส่งมอบสินค้าไม่มีคุณภาพตามที่ตกลงกันไว้และโจทก์ได้ส่งมอบสินค้าคืนแล้ว อันถือได้ว่าจำเลยละเลยไม่ชำระหนี้ กรณีต้องตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 378(3) หาใช่เรื่องฟ้องให้รับผิดเพื่อความชำรุดบกพร่องไม่ ฉะนั้นกรณีที่โจทก์ฟ้องเรียกเงินค่ามัดจำค่าสินค้าหรือเงินที่โจทก์มอบให้จำเลยเพื่อชำระเป็นค่าสินค้าบางส่วนคืนนี้เมื่อไม่มีกฎหมายบัญญัติอายุความไว้เป็นอย่างอื่น จึงมีอายุความ 10 ปี ตามมาตรา 193/30

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยประกอบอาชีพจัดหาสินค้าให้ผู้ที่ต้องการซื้อสินค้าทุกชนิดโดยได้เงินส่วนต่างระหว่างราคาสินค้าที่จำเลยตกลงกับผู้สั่งซื้อและราคาสินค้าที่จำเลยตกลงกับผู้ผลิตสินค้าเมื่อประมาณวันที่ 25 กุมภาพันธ์ 2535 จำเลยให้คำมั่นกับโจทก์ว่าจำเลยจะเป็นผู้จัดหาดินสอสีไม้รวม 1,460 โหล ราคา 140,000 บาทให้โจทก์ โดยโจทก์ต้องชำระเงินล่วงหน้าแก่จำเลย 70,000 บาทเพื่อจำเลยจะได้นำไปวางเป็นเงินค่ามัดจำแก่ผู้ผลิตสินค้าและจำเลยตกลงจะจัดส่งดินสอสีให้โจทก์ภายในวันที่ 31 มีนาคม 2535หากผิดนัดจำเลยยอมคืนเงินมัดจำพร้อมดอกเบี้ยแก่โจทก์ โจทก์ตกลงและชำระเงินจำนวนดังกล่าวให้จำเลย ต่อมาวันที่ 4 พฤษภาคม 2535จำเลยได้ส่งมอบดินสอสีของบริษัท เอส.เอ็น.สยามมากร๊าฟ จำกัดจำนวน 100,860 แท่ง ให้โจทก์ซึ่งไม่ครบจำนวนและไม่ตรงตามกำหนดนัดทั้งดินสอสีส่วนใหญ่ก็ชำรุดและไม่ได้คุณภาพตามตัวอย่างที่ให้ไว้ โจทก์จึงคืนดินสอสีแก่บริษัทผู้ผลิตโดยจำเลยอยู่ด้วยและรับทราบ โจทก์จึงทวงถามเงินมัดจำคืนจากจำเลย จำเลยเพิกเฉยคิดดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันทวงถามคือวันที่13 ตุลาคม 2535 ถึงวันฟ้องเป็นเงินดอกเบี้ย 7,000 บาท รวมทั้งต้นเงินและดอกเบี้ย 77,000 บาท ขอให้บังคับจำเลยใช้เงินจำนวน77,000 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ในต้นเงิน70,000 บาท นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยให้การว่า ฟ้องโจทก์ขาดอายุความเพราะเป็นการผิดสัญญาจ้างทำของซึ่งมีอายุความ 1 ปี หรือผิดสัญญาซื้อขายซึ่งมีอายุความ 2 ปี แล้ว ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษากลับ ให้จำเลยคืนเงินมัดจำ 70,000 บาทแก่โจทก์ พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่13 ตุลาคม 2535 จนกว่าจะชำระเสร็จ แต่ดอกเบี้ยคิดคำนวณถึงวันฟ้อง ต้องไม่เกิน 7,000 บาท ตามที่โจทก์ขอ
จำเลยฎีกา โดยผู้พิพากษาที่ได้นั่งพิจารณาคดีในศาลชั้นต้นรับรองว่ามีเหตุสมควรที่จะฎีกาในข้อเท็จจริงได้
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงในเบื้องต้นฟังได้ว่าเมื่อวันที่ 3 มีนาคม 2535 บริษัทอาคีเท็ค ดีไซด์ จำกัดของจำเลยได้ทำสัญญาว่าจ้างให้บริษัท เอส.เอ็น.สยามมากร๊าฟ จำกัดผลิต (ทำ) ดินสอสีไม้แท่งสั้นรายพิพาทรวม 6 สี จำนวน 1,460 โหลโดยไม่มีโลโก้และไม่บรรจุซองเพื่อส่งมอบแก่จำเลยหรือโจทก์ภายในวันที่ 31 มีนาคม 2535 ตามสัญญาซื้อขายสินค้า โดยก่อนหน้านั้นในวันที่ 25 กุมภาพันธ์ 2535 โจทก์ได้ออกเช็คสั่งจ่ายเงินแก่จำเลยซึ่งจำเลยได้รับเงินตามเช็คไปเรียบร้อยแล้วในวันที่ 26เดือนเดียวกัน จำนวน 70,000 บาท ต่อมาในปลายเดือนเมษายน 2535และวันที่ 4 พฤษภาคม 2535 บริษัทผู้รับจ้างผลิตดินสอสีดังกล่าวได้นำดินสอสีมาส่งมอบแก่จำเลยและจำเลยได้นำไปส่งมอบแก่โจทก์อีกต่อหนึ่ง แต่โจทก์เห็นว่าเป็นดินสอสีที่ไม่ได้คุณภาพตามตัวอย่างที่จำเลยเคยนำไปแสดงต่อโจทก์จึงได้ให้พนักงานของบริษัทผู้รับจ้างผลิตที่นำสินค้ามาส่งรับสินค้ากลับคืนไปทั้งหมด
คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยประการแรกว่าโจทก์ฟ้องเรียกเงินดังกล่าวคืนจากจำเลยได้หรือไม่ จำเลยฎีกาว่าจำเลยกระทำการแทนโจทก์โดยไม่ได้รับผลประโยชน์ตอบแทน แต่เป็นการช่วยเหลือเอื้ออารีต่อโจทก์ในฐานะคนรู้จักกัน ศาลฎีกาวินิจฉัยข้อเท็จจริงแล้วเชื่อได้ว่าจำเลยมิได้เป็นตัวแทนของโจทก์หากแต่ได้เป็นผู้ประกอบการเป็นธุระจัดหาสินค้าหรือดินสอสีรายพิพาทให้แก่โจทก์โดยได้รับผลประโยชน์ตอบแทนตามฟ้องจริง จึงต้องคืนเงินค่าสินค้าบางส่วนที่จำเลยอ้างว่าเป็นเงินค่ามัดจำและค่าซองพลาสติกที่จำเลยรับไปแก่โจทก์
มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยต่อไปว่า คดีโจทก์ขาดอายุความ 2 ปี หรือไม่ จำเลยฎีกาว่า ตามพฤติการณ์เป็นเรื่องที่โจทก์ฟ้องให้จำเลยในฐานะผู้ขายรับผิดตามสัญญาซื้อขายเนื่องจากชำรุดบกพร่อง หรือฟ้องจำเลยในฐานะผู้รับจ้างให้รับผิดตามสัญญาจ้างทำของเพื่อความชำรุดบกพร่องอันมีอายุความ 2 ปีตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 193/34 นั้น เห็นว่าตามมาตรา 193/34 มิได้มีบัญญัติเกี่ยวกับเรื่องชำรุดบกพร่องแต่อย่างใด ทั้งฟ้องโจทก์เป็นเรื่องเรียกมัดจำคืนเพราะเหตุที่จำเลยส่งมอบสินค้าไม่มีคุณภาพตามที่ตกลงกันไว้และโจทก์ได้ส่งมอบสินค้าคืนแล้วอันถือได้ว่าจำเลยละเลยไม่ชำระหนี้ กรณีต้องตามมาตรา 378(3) หาใช่เรื่องฟ้องให้รับผิดเพื่อความชำรุดบกพร่องไม่ฉะนั้นกรณีที่โจทก์ฟ้องเรียกเงินค่ามัดจำค่าสินค้าหรือเงินที่โจทก์มอบให้จำเลยเพื่อชำระเป็นค่าสินค้าบางส่วนคืนนี้ไม่มีกฎหมายบัญญัติอายุความไว้เป็นอย่างอื่น จึงฟ้องได้ภายในกำหนด 10 ปี ตามมาตรา 193/30 คดีโจทก์จึงไม่ขาดอายุความ
พิพากษายืน

Share