คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2745/2532

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ฟ้องขอให้ศาลพิพากษาว่า โจทก์เป็นเจ้าของมีสิทธิครอบครองที่พิพาทซึ่งจำเลยได้ขึ้นทะเบียนเป็นที่สาธารณะ และขอให้จำเลยออกโฉนดที่พิพาทให้โจทก์ เป็นการฟ้องเรียกกรรมสิทธิ์ที่ดินจึงเป็นคดีมีทุนทรัพย์ ต้องเสียค่าขึ้นศาลตามราคาที่ดินที่พิพาท.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นผู้มีสิทธิครอบครองที่ดินพิพาทมาประมาณ50-60 ปีแล้ว ต่อมาโจทก์ได้ยื่นคำขอออกโฉนด จำเลยกับพวกตั้งกรรมการสอบสวนแล้วเห็นว่าที่พิพาทเป็นที่ดินของรัฐ ให้ยกเลิกคำขอและขึ้นทะเบียนที่ดินดังกล่าวเป็นที่ดินสาธารณประโยชน์ ทำให้โจทก์เสียหายโจทก์ฟ้องคดีโดยเสียค่าขึ้นศาลอย่างคดีมีทุนทรัพย์ และได้ยื่นคำร้องขอแก้ไขคำฟ้องด้วยว่า โจทก์ขอถือว่าคดีนี้มีทุนทรัพย์277,725 บาท
จำเลยทั้งเจ็ดให้การว่า ฟ้องโจทก์เคลือบคลุม ที่ดินพิพาทเป็นที่ดินสาธารณประโยชน์ คำสั่งของจำเลยที่ให้ยกเลิกคำขอของโจทก์และให้ขึ้นทะเบียนที่พิพาทชอบด้วยกฎหมาย โจทก์ไม่มีสิทธิครอบครองขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง ให้โจทก์ใช้ค่าฤชาธรรมเนียมโดยกำหนดค่าทนายความคนละ 2,000 บาท แทนจำเลยทั้งเจ็ด
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยข้อกฎหมายว่า ฟ้องโจทก์ระบุชัดว่าจำเลยขึ้นทะเบียนที่พิพาทเป็นที่สาธารณะ ตามคำขอท้ายฟ้องของโจทก์ก็มีคำขอให้ศาลพิพากษาว่าโจทก์เป็นเจ้าของมีสิทธิครอบครองที่พิพาท ให้จำเลยออกโฉนดที่พิพาทให้โจทก์ เช่นนี้ เป็นการฟ้องเรียกกรรมสิทธิ์ที่ดินเป็นคดีมีทุนทรัพย์ ทั้งเมื่อโจทก์ยื่นคำฟ้องคดีนี้โจทก์ก็เสียค่าขึ้นศาลอย่างคดีมีทุนทรัพย์ และโจทก์ยังได้ยื่นคำร้องขอแก้ไขคำฟ้องว่า โจทก์ขอถือว่าคดีนี้มีทุนทรัพย์ 227,725 บาท แสดงว่าโจทก์เองเชื่อว่าคดีนี้เป็นคดีมีทุนทรัพย์ การที่โจทก์เพิ่งมาเปลี่ยนใจในชั้นอุทธรณ์อ้างว่าเป็นคดีไม่มีทุนทรัพย์ จึงไม่ต้องด้วความเห็นของศาลฎีกา ฎีกาโจทก์ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน.

Share