แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
จำเลยที่ 1 นำเงินที่กู้มาได้ไปใช้ในการซ่อมแซมบ้านป้า เพราะป้าดูแลจำเลยที่ 1มาตั้งแต่เล็กรวมทั้งดูแลบุตรของจำเลยที่ 1 ด้วย การนำเงินกู้ไปซ่อมแซมบ้านของป้าก็เพื่อประโยชน์และความผาสุกของบุตรทั้งสามคนของจำเลยทั้งสอง กรณีจึงเป็นหนี้เกี่ยวแก่การจัดการบ้านเรือน ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1490(1)จึงเป็นหนี้ร่วมที่จำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นสามีต้องร่วมรับผิดด้วย
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์และจำเลยที่ 1 เป็นสมาชิกสหกรณ์ออมทรัพย์กระทรวงยุติธรรม จำกัด เมื่อวันที่ 26 มกราคม 25 มกราคม 2538 จำเลยที่ 1ได้กู้เงินจากสหกรณ์ออมทรัพย์กระทรวงยุติธรรม จำกัด เป็นเงินจำนวน 274,000บาท จำเลยที่ 1 สัญญาว่าจะส่งคืนต้นเงินกู้เป็นงวดรายเดือน งวดละ 3,300 บาทพร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 14.5 ต่อปีและยินยอมให้สหกรณ์ออมทรัพย์กระทรวงยุติธรรมจำกัด เปลี่ยนแปลงอัตราดอกเบี้ยได้จำเลยที่ 1 ระบุในสัญญาว่าจะนำเงินกู้ไปใช้ซ่อมแซมบ้านและใช้จ่ายในครอบครัว ในการนี้โจทก์ได้ทำหนังสือค้ำประกันเงินกู้สามัญของจำเลยที่ 1 ให้ไว้แก่สหกรณ์ออมทรัพย์กระทรวงยุติธรรม จำกัด โดยยอมค้ำประกันอย่างไม่จำกัดจำนวนและอย่างลูกหนี้ร่วม ขณะกู้จำเลยที่ 1 และที่ 2 เป็นสามีภริยาโดยชอบด้วยกฎหมาย จำเลยที่ 1 กู้เงินเพื่อใช้ซ่อมแซมบ้านและใช้จ่ายในครอบครัวร่วมกับจำเลยที่ 2 ต่อมาสหกรณ์ออมทรัพย์กระทรวงยุติธรรม จำกัด ได้จำหน่ายชื่อจำเลยที่ 1 ออกจากทะเบียนและแจ้งให้โจทก์ชำระเงินจำนวน 105,041.75 บาทพร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี ที่จำเลยที่ 1 เป็นหนี้ค้างชำระอยู่ เมื่อวันที่18 มีนาคม 2541 โจทก์ได้ชำระเงินจำนวน 116,416.50 บาท ให้แก่สหกรณ์ออมทรัพย์กระทรวงยุติธรรม จำกัด แทนจำเลยที่ 1 ไป เมื่อโจทก์ชำระหนี้แล้ว โจทก์ได้ติดตามทวงถามให้จำเลยทั้งสองชำระหนี้หลายครั้ง แต่จำเลยทั้งสองเพิกเฉยขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงินแก่โจทก์จำนวน 121,993.50 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี ของต้นเงิน 116,416.50 บาท นับถัดจากวันฟ้องจนวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยที่ 1 ขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา
จำเลยที่ 2 ให้การว่า ขณะจำเลยที่ 1 กู้เงินตามฟ้อง จำเลยที่ 2 เป็นคู่สมรสจำเลยที่ 1 แต่ปัจจุบันได้หย่าขาดจากการเป็นสามีภริยากันแล้ว จำเลยที่ 2 ไม่ได้รู้เห็นหรือยินยอมให้จำเลยที่ 1 กู้เงินทั้งเงินที่กู้มาก็ไม่ได้นำไปซ่อมแซมบ้านเนื่องจากบ้านจำเลยที่ 2 เพิ่งสร้างเสร็จใหม่ ไม่จำต้องซ่อมแซม และไม่ได้นำไปใช้จ่ายในครอบครัวเพราะจำเลยที่ 2 เป็นผู้ออกค่าใช้จ่ายในครอบครัวเพียงลำพัง เงินกู้ดังกล่าวหมดไปกับหนี้สินการพนันเพราะจำเลยที่ 1 เป็นคนชอบเล่นการพนัน มีหนี้สินต่อเนื่องมาตั้งแต่ก่อนสมรสกับจำเลยที่ 2 ซึ่งโจทก์ทราบดี ก่อนที่โจทก์จะค้ำประกัน ถ้าโจทก์ใช้ความระมัดระวังเพียงพอโดยสอบถามจำเลยที่ 2 เสียก่อน จำเลยที่ 2 ก็จะห้ามปราม การที่โจทก์ค้ำประกันเงินกู้ของจำเลยที่ 1 ดังกล่าวถือว่าเป็นความประมาทเลินเล่อของโจทก์เอง โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้อง ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 1 ชำระเงินจำนวน 116,416.50 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี นับแต่วันที่ 18 มีนาคม 2541 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ แต่ดอกเบี้ยถึงวันฟ้อง มิให้เกินกว่า 5,577 บาท ยกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ 2
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 6 พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยที่ 2 ร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 1ชำระเงินจำนวน 116,416.50 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี นับแต่วันที่18 มีนาคม 2541 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ ดอกเบี้ยถึงวันฟ้องมิให้เกิน 5,577บาท นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยที่ 2 ฎีกา โดยผู้พิพากษาที่ได้นั่งพิจารณาคดีในศาลชั้นต้นรับรองว่ามีเหตุสมควรที่จะฎีกาในข้อเท็จจริงได้
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงเบื้องต้นฟังได้ว่า เมื่อวันที่ 26มกราคม 2538 จำเลยที่ 1 ได้กู้เงินจากสหกรณ์ออมทรัพย์กระทรวงยุติธรรม จำกัดจำนวน 274,000 บาท ตามหนังสือกู้สำหรับเงินกู้สามัญเอกสารหมาย จ.2 โดยมีโจทก์กับนายสมหมาย สุขศรีทอง เป็นผู้ค้ำประกันยอมรับผิดอย่างลูกหนี้ร่วมกับจำเลยที่ 1 ตามหนังสือค้ำประกันสำหรับเงินกู้สามัญเอกสารหมาย จ.3 และ จ.4เมื่อปี 2540 จำเลยที่ 1 ถูกไล่ออกจากราชการ จึงต้องออกจากสมาชิกสหกรณ์ออมทรัพย์กระทรวงยุติธรรม จำกัด ต่อมาสหกรณ์ออมทรัพย์กระทรวงยุติธรรม จำกัดมีหนังสือทวงถามให้โจทก์ชำระหนี้กึ่งหนึ่งพร้อมดอกเบี้ยเป็นเงิน 116,416.50 บาทตามหนังสือทวงถามเอกสารหมาย จ.5 โจทก์ได้ชำระหนี้ตามใบรับเงินสดเอกสารหมาย จ.6 จำเลยที่ 2 เป็นสามีจำเลยที่ 1 จดทะเบียนสมรสโดยชอบด้วยกฎหมายตามข้อมูลทะเบียนครอบครัวเอกสารหมาย จ.7…
ปัญหาว่า จำเลยที่ 2 ต้องร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 1 หรือไม่นั้นมีข้อต้องพิจารณาว่า หนี้เงินกู้ของจำเลยที่ 1 ที่โจทก์เป็นผู้ร่วมค้ำประกันนั้นเป็นหนี้ร่วมของจำเลยทั้งสองตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1489, 1490 หรือไม่ ข้อเท็จจริงปรากฏว่า ตามหนังสือกู้สำหรับเงินกู้สามัญเอกสารหมาย จ.2 ข้อ 3 ระบุว่านำเงินกู้ไปใช้เฉพาะเพื่อการต่อไปนี้คือ ซ่อมแซมบ้านและใช้จ่ายในครอบครัว ซึ่งแม้จะเป็นระเบียบการกู้เงินของสหกรณ์ออมทรัพย์กระทรวงยุติธรรม จำกัด ก็ต้องถือว่าการกู้เงินของจำเลยที่ 1 นำไปใช้เพื่อเป็นกิจการดังกล่าว ขณะนั้นจำเลยที่ 2 กับจำเลยที่ 1ยังเป็นสามีภริยากันอยู่ เพิ่งจะหย่าขาดจากกันปี 2539 และยังปรากฏข้อเท็จจริงจากคำเบิกความของจำเลยที่ 1 ว่านำเงินกู้ส่วนหนึ่งไปใช้ในการซ่อมแซมบ้านป้าและอีกส่วนหนึ่งนำไปชำระหนี้การพนันสลากกินรวบ เหตุที่นำเงินไปซ่อมแซมบ้านป้าเพราะป้าดูแลจำเลยที่ 1 มาตั้งแต่เล็กรวมทั้งดูแลบุตรของจำเลยที่ 1 ด้วยแม้หนี้การพนันสลากกินรวบตามที่กล่าวอ้างจะไม่ใช่หนี้เกี่ยวแก่การจัดการบ้านเรือนก็ตาม แต่การที่จำเลยที่ 1 เบิกความรับว่า จำเลยที่ 1 อยู่กับป้าและบุตรทั้งสามคนอยู่กับป้าด้วย ทั้งจำเลยที่ 2 ก็รับว่าให้ป้าดูแลบุตรของตนและจำเลยที่ 2 ให้เงินใช้และซื้อของให้ด้วย ดังนี้ การนำเงินกู้ไปซ่อมแซมบ้านของป้าก็เพื่อประโยชน์และความผาสุกของบุตรทั้งสามคนของจำเลยทั้งสอง กรณีจึงเป็นหนี้เกี่ยวแก่การจัดการบ้านเรือน ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1490(1) หนี้ที่จำเลยที่ 1ก่อขึ้นจึงเป็นหนี้ร่วมที่จำเลยที่ 2 ต้องร่วมรับผิดด้วย ศาลอุทธรณ์ภาค 6 พิพากษาชอบแล้ว ฎีกาจำเลยที่ 2 ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน