แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 226กำหนดให้พยานวัตถุซึ่งน่าจะพิสูจน์ได้ว่าจำเลยมีผิดให้อ้างเป็นพยานหลักฐานได้ ธนบัตรของกลางเป็นพยานวัตถุที่เจ้าพนักงานตำรวจใช้ล่อซื้อเมทแอมเฟตามีนจากจำเลยแม้จะมิได้ลงบันทึกประจำวันไว้ โจทก์ย่อมอ้างเป็นพยานเพื่อพิสูจน์ความผิดของจำเลยได้ ไม่มีกฎหมายห้าม แผนที่เกิดเหตุเป็นเพียงพยานเอกสารจำลองถึงที่เกิดเหตุ ตามที่พนักงานสอบสวนได้จัดทำขึ้น แม้จะมีระเบียบให้พนักงานสอบสวน จัดทำขึ้นเพื่อประกอบคดี แต่ถ้าพนักงานสอบสวนมิได้ จัดทำก็หาทำให้พยานหลักฐานอื่นที่โจทก์นำสืบเสียไปแต่อย่างใดไม่ หากพยานโจทก์ฟังได้ว่าจำเลยกระทำผิดตามฟ้อง ศาลก็ลงโทษจำเลยได้โดยไม่จำต้องมีแผนที่เกิดเหตุ การที่จำเลยเอาเมทแอมเฟตามีนมาขายให้แก่สายลับผู้ล่อซื้อ แม้สายลับจะไม่มีเจตนาซื้อมาเพื่อเสพหรือแสวงหาประโยชน์อื่นใด จากเมทแอมเฟตามีน ก็ถือว่าจำเลยได้ขายเมทแอมเฟตามีน ตามบทนิยามคำว่า ขาย ที่บัญญัติไว้ในพระราชบัญญัติ วัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท พ.ศ. 2518 แล้ว
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยขายเมทแอมเฟตามีนซึ่งเป็นวัตถุออกฤทธิ์ในประเภท 2 จำนวน 3 เม็ด น้ำหนัก 0.21 กรัม ให้แก่สายลับผู้ล่อซื้อในราคา 120 บาท โดยไม่ได้รับอนุญาต และมีเมทแอมเฟตามีนอีก 8 เม็ดน้ำหนัก 0.56 กรัม ซึ่งเป็นคนละจำนวนกับที่ขายไว้ในครอบครองเพื่อขายโดยไม่ได้รับอนุญาต ขอให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติวัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท พ.ศ. 2518 มาตรา 4, 6, 13 ทวิ, 62, 89,106, 106 ทวิ ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 และคืนธนบัตรของกลางแก่เจ้าของ
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติวัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท พ.ศ. 2518มาตรา 13 ทวิ วรรคหนึ่ง มาตรา 89 จำคุก 6 ปี คำให้การของจำเลยชั้นจับกุมและชั้นสอบสวนเป็นประโยชน์แก่การพิจารณามีเหตุบรรเทาโทษลดโทษให้หนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 4 ปีคืนธนบัตรของกลางแก่เจ้าของ
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ที่จำเลยฎีกาว่าธนบัตรของกลางที่เจ้าพนักงานตำรวจใช้ทำการล่อซื้อเมทแอมเฟตามีนมิได้มีการลงบันทึกประจำวันไว้ที่สถานีตำรวจ ซึ่งตามระเบียบจะต้องมีการลงบันทึกประจำวันก่อนไปทำการล่อซื้อเพื่อยืนยันการกระทำผิดของจำเลยนั้น เห็นว่า ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 226 บัญญัติว่าพยานวัตถุ ฯลฯ ซึ่งน่าจะพิสูจน์ได้ว่าจำเลยมีผิด ฯลฯให้อ้างเป็นพยานหลักฐานได้ธนบัตรของกลางเป็นพยานวัตถุที่เจ้าพนักงานตำรวจใช้ล่อซื้อเมทแอมเฟตามีนจากจำเลยแม้จะมิได้ลงบันทึกประจำวันดังจำเลยฎีกา โจทก์ย่อมอ้างเป็นพยานเพื่อพิสูจน์ความผิดของจำเลยได้ไม่มีกฎหมายห้าม ส่วนที่จำเลยฎีกาว่า พนักงานสอบสวนมิได้จัดทำแผนที่เกิดเหตุคดีนี้ ซึ่งเป็นระเบียบที่พนักงานสอบสวนจะต้องจัดทำขึ้นเพื่อประกอบคดีนั้น เห็นว่า แผนที่เกิดเหตุเป็นเพียงพยานเอกสารจำลองถึงที่เกิดเหตุตามที่พนักงานสอบสวนได้จัดทำขึ้นแม้จะมีระเบียบให้พนักงานสอบสวนจัดทำขึ้นเพื่อประกอบคดีดังจำเลยฎีกาแต่ถ้าพนักงานสอบสวนมิได้จัดทำก็หาทำให้พยานหลักฐานอื่นที่โจทก์นำสืบเสียไปแต่อย่างใดไม่ หากพยานโจทก์ฟังได้ว่า จำเลยกระทำผิดตามฟ้อง ศาลก็ลงโทษจำเลยได้โดยไม่จำต้องมีแผนที่เกิดเหตุฎีกาจำเลยข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
จำเลยฎีกาข้อสุดท้ายว่า การที่สายลับไปทำการล่อซื้อเมทแอมเฟตามีนจากจำเลย สายลับมิได้มีเจตนาจะก่อให้เกิดนิติสัมพันธ์ในการซื้อขายเมทแอมเฟตามีนจริงเพียงล่อซื้อเพื่อให้มีการจับกุมจำเลยในข้อหาขายเมทแอมเฟตามีนเท่านั้น จึงไม่นำเอาพฤติการณ์การล่อซื้อของสายลับมาลงโทษจำเลยในข้อหาขายเมทแอมเฟตามีนได้นั้น เห็นว่าการที่จำเลยเอาเมทแอมเฟตามีนมาขายให้แก่สายลับผู้ล่อซื้อแม้สายลับจะไม่มีเจตนาซื้อเมทแอมเฟตามีนจากจำเลยมาเพื่อเสพหรือแสวงหาประโยชน์อื่นใดจากเมทแอมเฟตามีน ก็ถือว่าจำเลยได้ขายเมทแอมเฟตามีนตามบทนิยามคำว่าขายที่บัญญัติไว้ในพระราชบัญญัติวัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท พ.ศ. 2518 แล้ว ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2พิพากษามานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาจำเลยฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน