คำสั่งคำร้องที่ 1733/2529

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ความว่า จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งว่า ฎีกาของจำเลยเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 218 จึงไม่รับฎีกาของจำเลย
จำเลยเห็นว่า จำเลยฎีกาว่า ข้อเท็จจริงที่ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์รับฟังมานั้นเป็นเท็จ เพราะพนักงานสอบสวนปั้นพยานเท็จขึ้นปรักปรำจำเลย โดยในชั้นฎีกานี้จำเลยมีพยานเอกสารทางราชการคือ ป.จ.ว.ข้อ 7. ลงวันที่ 2 พฤศจิกายน 2526 อ้างเป็นพยานยืนยันว่าพนักงานสอบสวนทำการสอบสวนคดีนี้โดยมีเจตนาทุจริตดังกล่าว ให้จำเลยต้องรับโทษทางอาญาการสอบสวนคดีนี้จึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย ฉะนั้น ปัญหาที่มาสู่ศาลฎีกาก็คือ ศาลฎีกาควรรับฟังเอกสารดังกล่าวที่จำเลยอ้างเป็นพยานในชั้นฎีกาหรือไม่ และถ้ารับฟังเป็นพยาน จะฟังว่าจำเลยเป็นผู้กระทำผิดตามฟ้องหรือไม่ซึ่งเป็นปัญหาข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย โปรดมีคำสั่งให้รับฎีกาของจำเลยไว้พิจารณา
หมายเหตุ โจทก์ได้รับสำเนาคำร้องแล้ว (อันดับ 101) โจทก์ร่วมยังไม่ได้รับสำเนาคำร้อง
ระหว่างพิจารณา นายสุรพงษ์หิรัญชัยพฤกษ์ บุตรของผู้ตายขอเข้าเป็นโจทก์ร่วม ศาลชั้นต้นอนุญาต
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 291 พระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ. 2522 มาตรา 35,43,157 ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 291 ซึ่งเป็นบทหนักจำคุก 6 ปี กระทงหนึ่ง กับมีความผิดตามพระราชบัญญัติจราจรทางบกพ.ศ. 2522 มาตรา 78,160 วรรคสอง จำคุก 3 เดือน รวมจำคุก6 ปี 3 เดือน จำเลยเข้ามอบตัวต่อพนักงานสอบสวน ลดโทษให้หนึ่งในสามคงจำคุก 4 ปี 2 เดือน ฯลฯ
จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาดังกล่าว (อันดับ 99)
จำเลยจึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 101)

คำสั่ง
พิเคราะห์แล้ว เห็นว่าฎีกาของจำเลยโต้เถียงการใช้ดุลยพินิจรับฟังพยานหลักฐานของศาลล่างทั้งสอง จึงเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาอาญา มาตรา 218ให้ยกคำร้อง

Share