แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าของที่ดินแปลงพิพาทโดยจดทะเบียนซื้อมาจาก ส. จำเลยอยู่ในที่ดินส่วนพิพาทโดยอาศัย ส. ขอให้ขับไล่จำเลยให้การว่า จำเลยครอบครองที่ดินส่วนพิพาทด้วยความสงบ เปิดเผยและเจตนายึดถือเพื่อตนมาเป็นเวลาประมาณ25 ปีแล้ว จึงได้สิทธิโดยอายุความ โจทก์เพิ่งซื้อจาก ส. ในภายหลังจึงไม่มีอำนาจฟ้องดังนี้คดีมีประเด็นข้อพิพาทว่า จำเลยครอบครองปรปักษ์จนได้กรรมสิทธิ์แล้วหรือไม่ หากฟังได้ว่าจำเลยครอบครองปรปักษ์ย่อมมีประเด็นที่จะต้องวินิจฉัยต่อไปว่า ส. และโจทก์ได้ที่ดินมาโดยเสียค่าตอบแทน และโดยสุจริต และได้จดทะเบียนโดยสุจริตหรือไม่และจำเลยจะยกการได้กรรมสิทธิ์โดยการครอบครองปรปักษ์ขึ้นต่อสู้ ส. และโจทก์ได้หรือไม่ การที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า ส. ได้ที่ดินแปลงพิพาทมาโดยเสียค่าตอบแทน และโดยสุจริต และได้จดทะเบียนสิทธิโดยสุจริตแล้ว จึงไม่เป็นการวินิจฉัยนอกประเด็น
จำเลยให้การเพียงว่า จำเลยครอบครองปรปักษ์ที่ดินส่วนพิพาทมาเป็นเวลาประมาณ 25 ปีแล้ว มิได้ให้การว่า ส. มิใช่บุคคลภายนอกและซื้อที่ดินแปลงพิพาทจาก บ. โดยไม่สุจริต ส. ย่อมได้รับประโยชน์จากข้อสันนิษฐานตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 6 ว่ากระทำการโดยสุจริต เมื่อข้อเท็จจริงไม่ปรากฏเป็นอย่างอื่น การที่ศาลอุทธรณ์รับฟังว่า ส. ซื้อที่ดินแปลงพิพาทโดยสุจริตตามข้อสันนิษฐานดังกล่าวจึงชอบด้วยกฎหมาย
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นนิติบุคคลประเภทบริษัทจำกัด และเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ 1732 โดยโจทก์ซื้อมาจากนายสุทธิพงศ์ สุดสังเกตุ เมื่อวันที่ 6 พฤษภาคม 2535 จำเลยอาศัยนายสุทธิพงศ์อยู่ในที่ดินแปลงดังกล่าวเนื้อที่ประมาณ 1 งาน โจทก์ไม่ประสงค์ให้จำเลยและบริวารพักอาศัยในที่ดินของโจทก์ต่อไป จึงได้บอกกล่าวให้จำเลยรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างและออกไปจากที่ดินของโจทก์แต่จำเลยเพิกเฉยทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย ที่ดินพิพาทดังกล่าวอาจให้เช่าได้เดือนละ 1,000 บาท โจทก์จึงขอเรียกค่าเสียหายจากจำเลยนับตั้งแต่วันที่ 25 สิงหาคม 2540 จนถึงวันฟ้องเป็นเงิน2,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี ขอให้บังคับจำเลยและบริวารรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างออกไปจากที่ดินโฉนดเลขที่ 1732 ตำบลบ้านอิฐ อำเภอเมืองอ่างทอง จังหวัดอ่างทอง และห้ามจำเลยและบริวารเกี่ยวข้องกับที่ดินแปลงดังกล่าวอีกต่อไป ให้จำเลยชดใช้ค่าเสียหายจำนวน 2,000 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี ในต้นเงินดังกล่าว นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์และให้จำเลยชดใช้ค่าเสียหายเดือนละ1,000 บาท แก่โจทก์นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจำเลยจะออกไปจากที่ดินของโจทก์
จำเลยให้การว่า ที่ดินพิพาทเป็นที่ดินที่ไม่มีเอกสารสิทธิจำเลยได้ครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินพิพาทมาประมาณ 25 ปีแล้ว ด้วยความสงบเปิดเผยและเจตนายึดถือเพื่อตน ไม่มีผู้ใดโต้แย้งคัดค้าน จำเลยจึงได้สิทธิครอบครองโดยอายุความ โจทก์เพิ่งจะจดทะเบียนซื้อที่ดินพิพาทจากผู้มีชื่อภายหลังจึงไม่มีอำนาจฟ้อง ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ระหว่างส่งหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องอุทธรณ์ จำเลยถึงแก่กรรม โจทก์ยื่นคำร้องขอให้เรียกนางแกะ โกทัณฑ์ ทายาทของจำเลยเข้าเป็นคู่ความแทน ศาลอุทธรณ์ภาค 2 อนุญาตให้นางแกะ เข้าเป็นคู่ความแทนที่จำเลยผู้มรณะได้
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษากลับ ให้จำเลยและบริวารรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างออกจากที่ดินโฉนดเลขที่ 1732 ตำบลบ้านอิฐ อำเภอเมืองอ่างทอง จังหวัดอ่างทอง ของโจทก์และห้ามจำเลยและบริวารเกี่ยวข้องกับที่ดินของโจทก์ดังกล่าวอีกต่อไป ให้จำเลยใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ในอัตราเดือนละ 400 บาท นับแต่วันที่ 2 กันยายน 2540 เป็นต้นไปจนกว่าจำเลยและบริวารจะออกไปจากที่ดินของโจทก์
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงในชั้นฎีกาฟังได้ว่า เดิมที่ดินแปลงพิพาทโฉนดเลขที่ 1732 ตำบลบ้านอิฐ อำเภอเมืองอ่างทอง จังหวัดอ่างทอง เนื้อที่ 13 ไร่ 2 งาน 16 ตารางวา เป็นของนางสาวบุญชู เฉลิมสาร ต่อมาวันที่ 29 พฤศจิกายน 2532 นางสาวบุญชูได้จดทะเบียนโอนขายให้แก่นายสุทธิพงศ์ สุดสังเกตุ วันที่ 6 พฤษภาคม 2535 นายสุทธิพงศ์ได้จดทะเบียนโอนขายต่อให้แก่โจทก์ ตามโฉนดที่ดินเอกสารหมาย จ.4 ที่ดินส่วนพิพาทเนื้อที่ 3 งาน 86 ตารางวา เป็นส่วนหนึ่งของที่ดินแปลงดังกล่าวบริเวณทิศตะวันออกเฉียงเหนือ มีอาณาเขตด้านทิศตะวันออกจรดถนนสายเอเซีย หรือทางหลวงแผ่นดินสายบางปะอิน – นครสวรรค์ ตามแนวเส้นสีเขียวในแผนที่วิวาทเอกสารหมาย จ.ล.1 และอยู่ติดกับโชว์รูมขายกระเบื้อง ยี่ห้อโอฬาร ปัจจุบันจำเลยเป็นผู้ครอบครองที่ดินส่วนพิพาทโดยใช้ปลูกบ้านพักอาศัย คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยประการแรกว่า โจทก์มีอำนาจฟ้องขับไล่จำเลยหรือไม่ ปัญหาดังกล่าวจำเลยฎีกาว่า โจทก์มิได้กล่าวไว้ในคำฟ้องว่า นายสุทธิพงศ์และโจทก์ซื้อที่ดินแปลงพิพาทโดยสุจริต คดีจึงไม่มีประเด็นดังกล่าว ทั้งโจทก์ไม่ได้นำสืบให้เห็นว่านายสุทธิพงศ์ซื้อที่ดินแปลงพิพาทโดยสุจริต การที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2 วินิจฉัยว่า แม้จำเลยจะครอบครองที่ดินส่วนพิพาทโดยทางปรปักษ์มาเป็นเวลาเกินกว่า 10 ปี แต่จำเลยยังไม่ได้จดทะเบียนการได้มาย่อมยกขึ้นต่อสู้ นายสุทธิพงศ์ซึ่งเป็นบุคคลภายนอกผู้ได้สิทธิมาโดยเสียค่าตอบแทนและโดยสุจริตและได้จดทะเบียนสิทธิโดยสุจริตแล้วไม่ได้ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1299 วรรคสอง เมื่อนายสุทธิพงศ์โอนขายที่ดินดังกล่าวให้แก่โจทก์ จำเลยจึงไม่อาจยกการครอบครองปรปักษ์ที่สิ้นผลไปแล้วมาใช้ยันโจทก์ได้ จึงเป็นการวินิจฉัยนอกประเด็นและรับฟังข้อเท็จจริงที่ไม่ถูกต้องนั้น เห็นว่า คดีนี้โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าของที่ดินแปลงพิพาทโดยจดทะเบียนซื้อมาจากนายสุทธิพงศ์ เมื่อวันที่ 6 พฤษภาคม 2535 จำเลยอยู่ในที่ดินส่วนพิพาทโดยอาศัยนายสุทธิพงศ์ โจทก์ไม่ประสงค์จะให้จำเลยอาศัยอยู่อีกต่อไป ขอให้ขับไล่ จำเลยให้การว่า จำเลยครอบครองที่ดินส่วนพิพาทด้วยความสงบ เปิดเผยและเจตนายึดถือเพื่อตนมาเป็นเวลาประมาณ 25 ปีแล้ว จึงได้สิทธิโดยอายุความ โจทก์เพิ่งจดทะเบียนซื้อจากนายสุทธิพงศ์ในภายหลังจึงไม่มีอำนาจฟ้อง ดังนี้คดีมีประเด็นข้อพิพาทว่า จำเลยครอบครองปรปักษ์ที่ดินส่วนพิพาทจนได้กรรมสิทธิ์แล้วหรือไม่ หากฟังได้ว่าจำเลยครอบครองปรปักษ์ที่ดินส่วนพิพาทจนได้กรรมสิทธิ์แล้ว ย่อมมีประเด็นที่จะต้องวินิจฉัยต่อไปว่า นายสุทธิพงศ์และโจทก์ได้ที่ดินแปลงพิพาทโดยเสียค่าตอบแทนและโดยสุจริต และได้จดทะเบียนโดยสุจริตหรือไม่ และจำเลยจะยกการได้กรรมสิทธิ์โดยการครอบครองปรปักษ์ในที่ดินส่วนพิพาทขึ้นต่อสู้นายสุทธิพงศ์และโจทก์ได้หรือไม่ การที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2 วินิจฉัยว่า นายสุทธิพงศ์ได้ที่ดินพิพาทมาโดยเสียค่าตอบแทนและโดยสุจริต และได้จดทะเบียนสิทธิโดยสุจริตแล้ว จึงไม่เป็นการวินิจฉัยนอกประเด็น และจำเลยให้การเพียงว่าจำเลยครอบครองปรปักษ์ที่ดินส่วนพิพาทมาเป็นเวลาประมาณ 25 ปีแล้ว มิได้ให้การต่อสู้ว่านายสุทธิพงศ์มิใช่บุคคลภายนอกและซื้อที่ดินแปลงพิพาทโดยไม่สุจริต นายสุทธิพงศ์ย่อมได้รับประโยชน์จากข้อสันนิษฐานตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 6 ว่ากระทำการโดยสุจริต เมื่อข้อเท็จจริงไม่ปรากฏให้เป็นอย่างอื่น การที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2 รับฟังว่านายสุทธิพงศ์ซื้อที่ดินแปลงพิพาทโดยสุจริตตามข้อสันนิษฐานดังกล่าว จึงเป็นการรับฟังข้อเท็จจริงที่ชอบด้วยกฎหมาย ฎีกาของจำเลยข้อนี้ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน