คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2690/2535

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

โจทก์บรรยายฟ้องว่าจำเลยเจตนาเพื่อมิให้โจทก์ซึ่งเป็นเจ้าหนี้ทั้งหมดหรือแต่บางส่วน ได้โอนสิทธิการเช่าโทรศัพท์ของจำเลย อันเป็นทรัพย์สินมูลค่า 28,000 บาท ให้แก่ผู้มีชื่อ ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย ไม่ได้รับชำระหนี้ตามคำพิพากษา เป็นคำฟ้องที่สมบูรณ์มีความหมายชัดแจ้งอยู่ในตัวแล้วว่า จำเลยได้รู้อยู่แล้วว่าโจทก์ได้ใช้สิทธิทางศาลแล้วซึ่งครบองค์ประกอบแห่งความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 350 และเป็นฟ้องที่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 158(5) โจทก์ไม่จำต้องบรรยายข้อความที่มีความหมายอย่างเดียวกันซ้ำในฟ้องอีก

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยได้เจตนาเพื่อมิให้โจทก์ซึ่งเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาคดีหมายเลขแดงที่ 2835/2530 ของศาลแพ่งธนบุรี ซึ่งได้ใช้สิทธิทางศาลโดยชอบ แล้วได้รับชำระหนี้ทั้งหมดหรือแต่บางส่วนได้โอนสิทธิการเช่าโทรศัพท์ของจำเลยเป็นเครื่องหมายเลข 4672047อันเป็นทรัพย์สินอย่างหนึ่ง มูลค่าประมาณ 28,000 บาท ให้แก่ผู้มีชื่อ ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหายไม่ได้รับชำระหนี้ตามคำพิพากษาของศาลดังกล่าว ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 350
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง โจทก์อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายกคำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้นพิจารณาพิพากษาใหม่ตามรูปคดีโจทก์และจำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “จำเลยฎีกาว่าตามที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าฟ้องของโจทก์ครบองค์ประกอบแห่งความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 350 แล้ว จำเลยไม่เห็นด้วยเพราะฟ้องของโจทก์ไม่ได้บรรยายให้ชัดว่า “จำเลยรู้ว่าโจทก์ได้ใช้สิทธิทางศาลแล้วหรือจะใช้สิทธิเรียกร้องทางศาลให้ชำระหนี้” นั้น ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 350บัญญัติว่า “ผู้ใดเพื่อมิให้เจ้าหนี้ของตนหรือของผู้อื่นได้รับชำระหนี้ทั้งหมดหรือแต่บางส่วน ซึ่งได้ใช้หรือจะใช้สิทธิเรียกร้องทางศาลให้ชำระหนี้ ย้ายไปเสีย ซ่อนเร้นหรือโอนไปให้แก่ผู้อื่นซึ่งทรัพย์ใดก็ดี แกล้งให้ตนเองเป็นหนี้จำนวนใดอันไม่เป็นความจริงก็ดี ต้องระวางโทษ…” ซึ่งคำฟ้องของโจทก์ได้บรรยายว่าจำเลยเจตนาเพื่อมิให้โจทก์ซึ่งเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาหมายเลขแดงที่2835/2530 ของศาลแพ่งธนบุรี ซึ่งได้ใช้สิทธิทางศาลโดยชอบแล้วได้รับชำระหนี้ทั้งหมดหรือแต่บางส่วน ได้โอนสิทธิการเช่าโทรศัพท์ของจำเลยเครื่องหมายเลข 4672047 อันเป็นทรัพย์สินมูลค่า 28,000 บาทให้แก่ผู้มีชื่อ ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย ไม่ได้รับชำระหนี้ตามคำพิพากษา เห็นว่า ฟ้องโจทก์เป็นคำฟ้องที่สมบูรณ์มีความหมายชัดแจ้งอยู่ในตัวแล้วว่า จำเลยได้รู้อยู่แล้วว่าโจทก์ได้ใช้สิทธิทางศาลแล้ว ซึ่งครบองค์ประกอบแห่งความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 350 และเป็นฟ้องที่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 158(5) โจทก์ไม่จำต้องบรรยายข้อความที่มีความหมายอย่างเดียวกันซ้ำในฟ้องอีก ข้ออ้างของจำเลยฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน

Share