คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 417/2560

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยชกต่อยผู้ตายโดยใช้มือขวาข้างเดียว ชกประมาณ 5 ถึง 6 หมัด ใช้เวลาไม่ถึงครึ่งนาที อ. พยานโจทก์อยู่ห่างจากผู้ตายประมาณ 5 เมตร ย่อมสามารถเห็นจำเลยใช้อาวุธมีดแทงผู้ตายได้ชัดเจน หากจำเลยมีอาวุธอยู่ในมือผู้ตายต้องได้รับบาดแผลหลายแผล แต่ปรากฏว่าผู้ตายถูกแทงเพียงแห่งเดียวที่บริเวณใต้ราวนมด้านซ้าย คำเบิกความพยานโจทก์ไม่มีน้ำหนักน่าเชื่อถือ กรณีมีเหตุสงสัยตามสมควรว่าจำเลยเป็นคนใช้เหล็กแหลมเป็นอาวุธแทงผู้ตายหรือไม่ จึงยกประโยชน์แห่งความสงสัยนั้นให้จำเลย ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 227 วรรคสอง ประกอบ พ.ร.บ.ศาลเยาวชนและครอบครัวและวิธีพิจารณาคดีเยาวชนและครอบครัว พ.ศ.2553 มาตรา 6

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 80, 83, 91, 288, 289, 295
จำเลยให้การปฏิเสธ
ระหว่างพิจารณา นางอำไพ มารดาของนายณัฐภัทร ผู้ตาย ยื่นคำร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ ศาลชั้นต้นอนุญาต (ที่ถูก อนุญาตให้เข้าร่วมเป็นโจทก์เฉพาะข้อหาร่วมกันฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อนซึ่งโจทก์ร่วมเป็นผู้เสียหายเท่านั้น)
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์และโจทก์ร่วมอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 9 แผนกคดีเยาวชนและครอบครัวพิพากษายืน
โจทก์ร่วมฎีกา โดยผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นอนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
ศาลฎีกาแผนกคดีเยาวชนและครอบครัววินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงเบื้องต้นฟังได้ว่า ตามวันเวลาและสถานที่เกิดเหตุตามฟ้อง มีคนร้ายใช้เหล็กแหลมเป็นอาวุธแทงนายณัฐภัทรหรือแบงค์ ผู้ตาย ที่บริเวณใต้ราวนมด้านซ้ายเป็นเหตุให้ผู้ตายถึงแก่ความตาย และมีคนร้ายใช้เหล็กแหลมแทงนายเจนณรงค์หรือบ่าว ผู้เสียหายที่ 1 ที่บริเวณสะเอวด้านหลังทะลุหน้าท้อง เป็นเหตุให้ผู้เสียหายที่ 1 ให้รับอันตรายสาหัส และมีคนร้ายใช้เหล็กแหลมเป็นอาวุธแทงนายณัฐพงษ์หรือณัฐ ผู้เสียหายที่ 2 ที่บริเวณใต้ราวนมด้านซ้ายเป็นเหตุให้ผู้เสียหายที่ 2 ได้รับอันตรายแก่กาย
คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ร่วมว่า จำเลยร่วมกับพวกฆ่าผู้ตายหรือไม่ โจทก์และโจทก์ร่วมนำสืบว่าเมื่อวันที่ 6 พฤษภาคม 2555 เวลาประมาณ 19 นาฬิกา ผู้เสียหายที่ 1 กับพวกรวม 3 คน ขับรถจักรยานยนต์ผ่านวิทยาลัยเทคนิคพัทลุง นายสิทธิโชคหรือกลั้ว และจำเลยกับพวกรวมประมาณ 8 คน ขับรถจักรยานยนต์มาประกบ นายสิทธิโชคและจำเลยพูดกับพวกว่าลงไปต่อยดีกว่าแล้วขับรถจักรยานยนต์ผ่านหน้าผู้เสียหายที่ 1 กับพวกไป วันรุ่งขึ้นเวลาประมาณ 20 นาฬิกา นายณัฐภัทร ผู้ตาย ผู้เสียหายที่ 1 ผู้เสียหายที่ 2 นายอนุศักดิ์หรืออี๊ด และนายสุธรรมหรือสอง เดินทางไปดูหนังตะลุงที่โรงเรียนวัดนาท่อม ผู้เสียหายที่ 1 พบเพื่อนอีก 2 คน จึงเดินไปด้วยกัน ขณะเดินไปโรงหนังตะลุงพบ
นายสิทธิโชคกับพวกอีก 3 ถึง 4 คน เดินสวนทางมา นายสิทธิโชคเดินเข้ามาหา ผู้เสียหายที่ 1 จึงชกนายสิทธิโชคแล้วชกต่อยกัน พวกของนายสิทธิโชคเข้ามาช่วยนายสิทธิโชค เมื่อพวกของผู้เสียหายที่ 1 เดินเข้ามา นายสิทธิโชคจึงวิ่งหนีไปทางเสาธง แล้วถูกนายอนุศักดิ์จับตัวไว้ พวกของนายสิทธิโชคซึ่งนั่งอยู่บริเวณเสาธงจึงวิ่งเข้ามา นายอนุศักดิ์ปล่อยตัวนายสิทธิโชค ผู้เสียหายที่ 1 วิ่งเข้าไปล็อกคอนายสิทธิโชคไว้ นายโกศลหรือหนวด กับพวกอีก 3 คน เข้ามาทำร้ายผู้เสียหายที่ 1 ผู้ตายเข้ามาช่วยกระชากมือดึงผู้เสียหายที่ 1 จนล้ม พวกของนายสิทธิโชคเข้ารุมทำร้ายผู้ตาย โดยนายโกศลยืนทางด้านหลังล็อกคอผู้ตายไว้ จำเลยใช้เหล็กแหลมยาวประมาณ 5 นิ้ว แทงผู้ตายที่บริเวณอกด้านซ้าย แล้วต่างฝ่ายต่างวิ่งหนีเพราะมีคนตะโกนว่าตำรวจมา ผู้ตายบอกผู้เสียหายที่ 1 ว่าถูกผู้ชายรูปร่างสูงผิวขาวแทงด้วยขณะเข้าไป
ล็อกคอนายสิทธิโชค ร้อยตำรวจตรีอนูญหรืออนุญ รองสารวัตรปราบปราม สถานีตำรวจภูธรโคกชะงายซึ่งปฏิบัติหน้าที่ดูแลความเรียบร้อยในที่เกิดเหตุพบผู้ตายและผู้เสียหายทั้งสองจึงนำส่งโรงพยาบาลพัทลุง ร้อยตำรวจเอกนพรัตน์ พนักงานสอบสวนตรวจสถานที่เกิดเหตุแล้วเดินทางไปที่โรงพยาบาลพัทลุง ปรากฏว่าผู้ตายถึงแก่ความตายแล้ว โดยแพทย์ตรวจพบบาดแผลถูกแทงด้วยวัตถุมีคมที่ใต้ราวนมด้านซ้ายถึงแก่ความตายเพราะเสียเลือดมากจากบาดแผลถูกแทง ผู้เสียหายที่ 1 มีบาดแผลฉีกขาดขอบไม่เรียบลึกถึงชั้นเนื้อเยื่อใต้ผิวหนัง และบาดแผลถูกแทงที่บริเวณหน้าท้องด้านขวาส่วนล่าง พบบาดแผลทะลุบริเวณเอวขวาด้านหลัง ผู้เสียหายที่ 2 มีบาดแผลถูกของมีคมลักษณะเป็นรูปสามเหลี่ยมที่บริเวณใต้ราวนมด้านซ้าย วันที่ 29 มีนาคม 2556 พันตำรวจโทพีรสินธุ์ พนักงานสอบสวนแจ้งข้อกล่าวหาแก่จำเลยในชั้นแจ้งข้อกล่าวหาและชั้นสอบสวนจำเลยให้การปฏิเสธ จำเลยนำสืบว่า คืนเกิดเหตุจำเลยไปดูการแสดงหนังตะลุงกับนายสิทธิโชค และพวกอีก 3 คน ขณะนั่งดูหนังตะลุงนายสิทธิโชคเดินออกไป ต่อมามีคนพูดว่า
นายสิทธิโชคถูกทำร้าย จำเลยจึงไปบอกมารดานายสิทธิโชค แล้วไม่ได้กลับไปที่เกิดเหตุอีก หลังเกิดเหตุ 2 วัน ร้อยตำรวจตรีสำเร็จมาตามจำเลยไปให้การในฐานะพยาน แต่ไม่พบพนักงานสอบสวน จำเลยจึงเดินทางกลับ ที่โจทก์ร่วมฎีกาว่า นายสุธรรมและนายอนุศักดิ์ประจักษ์พยานเบิกความยืนยันว่า เห็น
นายโกศลล็อกคอผู้ตายแล้วจำเลยชกต่อยผู้ตายลักษณะเหมือนจ้วงแทงที่บริเวณหน้าอกผู้ตาย เชื่อว่าจำเลยเป็นคนร้ายฆ่าผู้ตายจริงนั้น ได้ความตามที่นายสุธรรมเบิกความว่า นายโกศลเป็นคนล็อกผู้ตายและจำเลยเป็นคนใช้เหล็กขูดชาฟท์แทงผู้ตาย แต่ตอบคำถามที่ปรึกษากฎหมายจำเลยถามค้านว่า
ขณะผู้ตายถูกแทงนายสุธรรมอยู่ห่างจากที่เกิดเหตุประมาณ 10 เมตร ตอนที่ผู้ตายถูกรุมทำร้าย นายสุธรรมมองจากข้างนอกไม่ค่อยเห็นว่าใครทำอะไร เมื่อพบพนักงานตำรวจที่โรงพยาบาลนายสุธรรมไม่ได้บอกว่าคนร้ายเป็นใคร ในชั้นสอบสวนนายสุธรรมให้การครั้งแรกว่า ตอนที่เห็นจำเลยเข้าไปชกผู้ตาย นายสุธรรมเห็นทางด้านข้าง ตอนนั้นผู้ตายหันหน้าไปทางวัด ส่วนจำเลยหันหน้าเข้าหาผู้ตาย ต่อมามีการให้การต่อพนักงานสอบสวนต่อหน้าสหวิชาชีพ นายสุธรรมได้ให้การใหม่ต่างจากคำให้การเดิม นายสุธรรมให้การวันที่ 14 พฤษภาคม 2555 แต่บันทึกคำให้การ นายสุธรรมให้การในวันที่ 24 พฤศจิกายน 2555 หลังจากเกิดเหตุ 6 เดือนเศษ นายสุธรรมมีเวลาคิดไตร่ตรองที่จะเบิกความปรักปรำจำเลยจึงไม่น่าเชื่อถือ เพราะเมื่อเกิดเหตุแล้วนายสุธรรมตามไปดูผู้ตายและผู้เสียหายที่ 1 และที่ 2 ที่โรงพยาบาลได้พบกับเจ้าพนักงานตำรวจแต่ก็ไม่บอกเจ้าพนักงานตำรวจว่าจำเลยเป็นคนร้ายใช้เหล็กขูดชาฟท์แทงผู้ตาย ต่อมาอีก 7 วัน เมื่อนายสุธรรมมาให้การกับพนักงานสอบสวน นายสุธรรมก็ยังไม่ให้การว่าจำเลยเป็นผู้แทงผู้ตาย ส่วนนายอนุศักดิ์เบิกความตอบโจทก์ว่าขณะที่นายโกศลล็อกตัวผู้ตาย เห็นจำเลยชกต่อยผู้ตายบริเวณหน้าอกจึงเชื่อว่าจำเลยน่าจะเป็นคนแทงผู้ตาย นายอนุศักดิ์ไม่เห็นมีดที่จำเลยถืออยู่แต่อย่างใด ขณะนั้นอยู่ห่างจากผู้ตายประมาณ 5 เมตร แต่นายอนุศักดิ์เบิกความตอบที่ปรึกษากฎหมายจำเลยถามค้านว่าเห็นผู้ตายและจำเลยตอนชกต่อยกันด้านข้าง เห็นว่า จำเลยชกต่อยผู้ตายโดยใช้มือขวาข้างเดียว จำเลยชกผู้ตายประมาณ 5 ถึง 6 หมัด ใช้เวลาไม่ถึงครึ่งนาที เห็นว่าคำเบิกความของนายอนุศักดิ์ไม่น่าเชื่อถือ เพราะนายอนุศักดิ์อยู่ห่างจากผู้ตายประมาณ 5 เมตร ย่อมสามารถเห็นจำเลยใช้อาวุธแทงผู้ตายได้ชัดเจน
นายอนุศักดิ์เบิกความตอบคำถามค้านว่า จำเลยต่อยผู้ตายประมาณ 5 ถึง 6 หมัด หากจำเลยมีอาวุธอยู่ในมือผู้ตายต้องได้รับบาดแผลหลายแผลแต่ปรากฏว่าผู้ตายถูกแทงเพียงแห่งเดียวที่บริเวณใต้ราวนมด้านซ้าย คำเบิกความของนายสุธรรมและนายอนุศักดิ์มีน้ำหนักไม่น่าเชื่อถือ กรณีจึงมีเหตุสงสัยตามสมควรว่าจำเลยเป็นคนใช้เหล็กแหลมเป็นอาวุธแทงผู้ตายหรือไม่ จึงให้ยกประโยชน์แห่งความสงสัยนั้นให้จำเลย ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 227 วรรคสอง ประกอบพระราชบัญญัติศาลเยาวชนและครอบครัวและวิธีพิจารณาคดีเยาวชนและครอบครัว พ.ศ.2553 มาตรา 6 ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 9 พิพากษามานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ร่วมฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน

Share