แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ความว่า โจทก์ร่วมฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งว่า ฎีกาของโจทก์ร่วมเป็นการฎีกาปัญหาข้อเท็จจริงต้องห้ามมิให้ฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 จึงไม่รับฎีกา
โจทก์ร่วมเห็นว่า คดีนี้ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโดยอาศัยข้อเท็จจริง แต่ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายกฟ้องโดยอาศัยข้อกฎหมายจึงไม่ใช่กรณีที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายืนตามศาลล่างหรือเพียงแต่แก้ไขเล็กน้อยดังที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 218 โจทก์ร่วมย่อมฎีกาได้ทั้งปัญหาข้อเท็จจริงและปัญหาข้อกฎหมาย นอกจากนี้ที่โจทก์ร่วมฎีกาว่า โจทก์ร่วมมีอำนาจขอเข้าเป็นโจทก์ร่วมกับพนักงานอัยการในคดีนี้ก็เป็นฎีกาในปัญหาข้อกฎหมายโปรดมีคำสั่งให้รับฎีกาของโจทก์ร่วมไว้พิจารณาพิพากษาต่อไป
หมายเหตุ โจทก์และจำเลยได้รับสำเนาคำร้องแล้ว (อันดับ 165แผ่นที่ 2,167)
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา291,390 พระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ. 2522 มาตรา 42,157ระหว่างพิจารณา แพทย์หญิงศรีวรรณาพูลสรรพสิทธิ์ภรรยาของนายแพทย์สิทธิทิพย์ พูลสรรพสิทธิ์ ผู้ตาย ขอเข้าเป็นโจทก์ร่วม ศาลชั้นต้นอนุญาต
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์ร่วมอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายกอุทธรณ์โจทก์ร่วม
โจทก์ร่วมฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาดังกล่าว(อันดับ 161)
โจทก์ร่วมจึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 162)
คำสั่ง
พิเคราะห์แล้ว คดีนี้ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโจทก์ แม้ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายกอุทธรณ์ของโจทก์ร่วมก็ตามแต่ศาลอุทธรณ์ภาค 2 ได้วินิจฉัยไว้แล้วว่าเหตุเกิดรถชนกันเพราะผู้ตายเป็นคนขับรถประมาทโดยขับรถเร็ว แซงรถอื่นเข้าไปในช่องทางเดินรถโดยสารที่จำเลยขับสวนทางมา ผู้ตายจึงมิใช่ผู้เสียหาย โจทก์ร่วมซึ่งเป็นภริยาของผู้ตายจึงไม่มีอำนาจจัดการแทนผู้ตายและ ไม่มีอำนาจขอเข้าร่วมเป็นโจทก์กับพนักงานอัยการโจทก์ ซึ่งเท่ากับศาลอุทธรณ์ภาค 2 วินิจฉัยว่าจำเลยไม่ได้ขับรถประมาทนั่นเอง การที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายกอุทธรณ์โจทก์ร่วมดังกล่าวมีผลเท่ากับยกฟ้องโจทก์โดยฟังว่าจำเลยมิได้ขับรถประมาท จำเลยไม่มีความผิดดังที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัย จึงห้ามมิให้คู่ความฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 220 ที่ศาลชั้นต้นสั่งไม่รับฎีกาของโจทก์ร่วมศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยในผล ให้ยกคำร้องของโจทก์ร่วม