คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2690/2530

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่าจำเลยมีความผิดโดยอาศัยคำเบิกความของผู้เสียหายเป็นหลัก เมื่อจำเลยอ้างคำเบิกความบางตอนของผู้เสียหาย มาในอุทธรณ์และให้เหตุผลว่าเหตุใดจึงไม่ควรเชื่อคำเบิกความของผู้เสียหาย ถือว่าจำเลยได้ระบุข้อเท็จจริงโดยย่อที่ยกขึ้นอ้างอิงตามความหมายของประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 193 วรรคสองแล้ว

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่าจำเลยกับพวกร่วมกันลักทรัพย์ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์ที่ได้มาจากการกสิกรรมของผู้มีอาชีพกสิกรรม ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๓๕ (๗) (๑๒), ๘๓ พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่๕) พ.ศ. ๒๕๒๕ มาตรา ๑๑ และขอให้จำเลยคืนหรือใช้ราคาทรัพย์ ๗๐ บาท แก่ผู้เสียหาย
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๓๕ (๗) (๑๒), ๘๓ พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่๕) พ.ศ. ๒๕๒๕ มาตรา ๑๑ ลงโทษจำคุก ๑ ปี ให้จำเลยคืนหรือใช้ราคาทรัพย์ ๗๐ บาทแก่ผู้เสียหาย
จำเลยอุทธรณ์ (จำเลยมิได้ย่อทางนำสืบของโจทก์และจำเลยไว้ในอุทธรณ์)
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับให้ยกฟ้อง
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ตามฎีกาของโจทก์ที่ว่า อุทธรณ์จำเลยมิได้ระบุข้อเท็จจริงโดยย่อจึงขัดต่อประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๑๙๓ นั้น เห็นว่าศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่าจำเลยมีความผิดโดยอาศัยคำเบิกความของผู้เสียหายเป็นหลัก จำเลยได้อ้างคำเบิกความบางตอนของผู้เสียหายมาในอุทธรณ์และให้เหตุผลว่าเหตุใดจึงไม่ควรเชื่อคำเบิกความของผู้เสียหาย ถือว่าจำเลยได้ระบุข้อเท็จจริงโดยย่อที่ยกขึ้นอ้างอิงตามมาตรา ๑๙๓ วรรคสอง แล้ว และศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่า จำเลยกระทำความผิดตามฟ้อง
พิพากษากลับ ให้บังคับคดีตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น.

Share