แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
จำเลยทั้งสองเป็นสามีภรรยากันและเป็นหนี้โจทก์ตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น แล้วไม่ชำระ โจทก์สืบหาทรัพย์สินของจำเลยทั้งสองแล้วแต่จำเลยทั้งสองไม่มีทรัพย์สินที่จะยึดมาขายทอดตลาดชำระหนี้ซึ่งเมื่อคำนวณแล้วเป็นจำนวนไม่น้อยกว่า 50,000 บาท ได้ นอกจากนี้จำเลยที่ 1 ยังเป็นหนี้ธนาคาร ก. ตามคำพิพากษาของศาลชั้นต้นอีก 3 คดี ซึ่งยังไม่มีการชำระหนี้ จำเลยทั้งสองย้ายที่อยู่หลายครั้งโดยไม่แจ้งให้เจ้าหนี้ทราบอีกทั้งจำเลยทั้งสองเป็นหนี้โจทก์ตามคำพิพากษาจึงเป็นหนี้ที่สามารถคำนวณได้แน่นอนพฤติการณ์ดังกล่าวจึงถือได้ว่า จำเลยทั้งสองมีหนี้สินล้นพ้นตัวและเป็นหนี้โจทก์จำนวนแน่นอนไม่น้อยกว่า 50,000 บาท อันเป็นเหตุให้โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยทั้งสองล้มละลายได้ คำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดมีผลเป็นคำพิพากษา ซึ่งพ.ร.บ. ล้มละลายฯ มาตรา 179(1) บัญญัติให้คิดค่าขึ้นศาลสำหรับคำฟ้องหรือคำร้องขอให้ล้มละลาย 50 บาท จำเลยทั้งสองอุทธรณ์คำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาด เป็นการอุทธรณ์คำพิพากษา ซึ่งพิพากษาตามคำฟ้องขอให้ล้มละลาย จึงต้องเสียค่าขึ้นศาลสำหรับคำฟ้องอุทธรณ์ 50 บาท.
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าหนี้จำเลยทั้งสองตามคำพิพากษาของศาลชั้นต้น เป็นต้นเงิน 33,916.30 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละสิบห้าต่อปี นับแต่เดือนพฤศจิกายน 2521จนถึงรับฟ้องเป็นเวลา 7 ปีเศษ แต่โจทก์ขอคิดเพียง 5 ปี เป็นเงิน25,500 บาท และค่าทนายความอีก 600 บาท รวมเป็น 60,016.30 บาทซึ่งกำหนดจำนวนได้โดยแน่นอน จำเลยทั้งสองเป็นผู้มีหนี้สินล้นพ้นตัวไม่สามารถชำระหนี้ได้ ขอให้มีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์จำเลยทั้งสองเด็ดขาดและพิพากษาให้เป็นบุคคลล้มละลาย
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฟ้อง คืนค่าขึ้นศาลทั้งหมดให้โจทก์
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้รับฟ้องโจทก์ไว้พิจารณา ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้รวมสั่งเมื่อมีคำสั่งหรือคำพิพากษาใหม่
จำเลยทั้งสองให้การว่า จำเลยทั้งสองไม่ได้เป็นหนี้โจทก์ตามจำนวนเงินที่ฟ้อง และสามารถชำระหนี้ได้ ไม่เป็นผู้มีหนี้สินล้นพ้นตัว ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์จำเลยทั้งสองเด็ดขาด ตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พุทธศักราช 2483 มาตรา 14 ให้จำเลยทั้งสองใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยหักจากกองทรัพย์สินของจำเลยทั้งสองค่าทนายความให้เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์กำหนดตามที่เห็นสมควร
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืน ค่าทนายความชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
จำเลยทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว คดีนี้โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยทั้งสองล้มละลาย ประเด็นแห่งคดีจึงมีว่า มีเหตุตามกฎหมายที่โจทก์จะฟ้องขอให้จำเลยทั้งสองล้มละลายหรือไม่ ซึ่งเหตุตามกฎหมายในคดีนี้ก็คือ จำเลยทั้งสองมีหนี้สินล้นพ้นตัวและเป็นหนี้โจทก์จำนวนแน่นอนไม่น้อยกว่าห้าหมื่นบาทจริงหรือไม่ซึ่งความข้อนี้ได้ความจากพยานบุคคลที่โจทก์นำเข้าสืบประกอบเอกสารว่าจำเลยทั้งสองเป็นสามีภรรยากันและเป็นหนี้โจทก์ตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นในคดีหมายเลขแดงที่ 319/2523 แล้วไม่ชำระ โจทก์สืบหาทรัพย์สินของจำเลยทั้งสองแล้วแต่จำเลยทั้งสองไม่มีทรัพย์สินที่จะยึดมาขายทอดตลาดชำระหนี้ ซึ่งเมื่อคำนวณแล้วเป็นจำนวนไม่น้อยกว่าห้าหมื่นบาทได้ นอกจากนี้จำเลยที่ 1 ยังเป็นหนี้ธนาคารกรุงไทย จำกัด ตามคำพิพากษาของศาลชั้นต้นอีกสามคดี ซึ่งยังไม่มีการชำระหนี้ จำเลยทั้งสองย้ายที่อยู่หลายครั้งโดยไม่แจ้งให้เจ้าหนี้ทราบพฤติการณ์ดังกล่าวจึงถือได้ว่าจำเลยทั้งสองมีหนี้สินล้นพ้นตัวและเป็นหนี้โจทก์จำนวนแน่นอนไม่น้อยกว่าห้าหมื่นบาทอันเป็นเหตุให้โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยทั้งสองล้มละลายได้ ที่จำเลยทั้งสองฎีกาว่า ศาลรับฟังข้อเท็จจริงนอกสำนวนและหนี้ตามฟ้องไม่แน่นอนนั้น ศาลฎีกาตรวจสำนวนแล้วปรากฏว่าศาลล่างทั้งสองฟังข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในสำนวนโดยชอบอีกทั้งจำเลยทั้งสองเป็นหนี้โจทก์ตามคำพิพากษาจึงเป็นหนี้ที่สามารถคำนวณได้แน่นอน สำหรับฎีกาข้อสุดท้ายที่จำเลยทั้งสองฎีกาว่า จำเลยควรเสียค่าขึ้นศาลในชั้นอุทธรณ์เพียง 50 บาท นั้น เห็นว่าคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดมีผลเป็นคำพิพากษา พระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2526 มาตรา 179(1) บัญญัติให้คิดค่าขึ้นศาลสำหรับคำฟ้องหรือคำร้องขอให้ล้มละลาย 50 บาท จำเลยทั้งสองอุทธรณ์คำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาด จึงเป็นการอุทธรณ์คำพิพากษาซึ่งพิพากษาตามคำฟ้องขอให้ล้มละลาย จึงต้องเสียค่าขึ้นศาลสำหรับคำฟ้องอุทธรณ์ดังกล่าว 50 บาท ศาลอุทธรณ์ภาค 1 มีคำสั่งให้ จำเลยทั้งสองชำระค่าขึ้นศาลชั้นอุทธรณ์ 200 บาท ไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา”
พิพากษายืน ค่าทนายความชั้นฎีกาให้เป็นพับ คืนค่าขึ้นศาลชั้นอุทธรณ์และฎีกาในส่วนที่เกินมา 300 บาท ให้แก่จำเลยทั้งสอง.