แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสองส่งมอบรถยนต์พิพาทคืนให้โจทก์หากคืนไม่ได้ให้จำเลยทั้งสองใช้ราคารถยนต์พิพาทในส่วนที่ยังค้างชำระให้โจทก์ จำเลยที่ 1 ให้การว่ารถยนต์พิพาทได้รับความเสียหายเพราะชนกับรถยนต์บุคคลอื่น ต่อมาได้เกิดไฟลุกไหม้ และในทางพิจารณาก็ได้ความว่ารถยนต์พิพาทชนกับรถยนต์อื่นจนเสียหายใช้การไม่ได้จริงเห็นได้ว่าจำเลยทั้งสองไม่อาจคืนรถยนต์พิพาทให้โจทก์ในสภาพเรียบร้อยใช้งานได้ดี ซึ่งหากจำเลยทั้งสองต้องชำระราคารถยนต์พิพาทให้โจทก์จำเลยที่ 1 ในฐานะผู้เอาประกันภัยรถยนต์คันดังกล่าวไว้กับจำเลยร่วม และจำเลยที่ 2 ในฐานะผู้ค้ำประกันที่ต้องร่วมกับจำเลยที่ 1 ชดใช้ราคารถยนต์พิพาทให้โจทก์ ย่อมมีสิทธิไล่เบี้ยเรียกค่าทดแทนสำหรับความเสียหายของรถยนต์พิพาทจากจำเลยร่วมผู้รับประกันภัยรถยนต์คันดังกล่าว จำเลยทั้งสองจึงขอให้เรียกจำเลยร่วมเข้ามาเป็นคู่ความในคดีนี้ได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 57(3) และเมื่อศาลชั้นต้นได้มีหมายเรียกจำเลยร่วมเข้ามาเป็นคู่ความในคดีตามที่จำเลยทั้งสองขอดังกล่าวแล้ว ศาลล่างทั้งสองย่อมมีอำนาจพิพากษาให้จำเลยร่วมชดใช้ค่าเสียหายที่จำเลยร่วมต้องรับผิดตามสัญญาประกันภัยให้โจทก์ได้จะถือว่าเป็นการพิพากษาเกินไปกว่าหรือนอกจากที่ปรากฏในคำฟ้องไม่ได้
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 25 ตุลาคม 2528 โจทก์ได้ขายรถยนต์บรรทุกให้จำเลยที่ 1 ในราคา 223,370 บาท โดยจำเลยที่ 1ชำระราคาให้โจทก์ในวันส่งมอบรถยนต์เป็นเงิน 41,750 บาท จำเลยที่ 1ต้องผ่อนชำระราคาเป็นงวด งวดละ 5,045 บาท รวม 36 งวด กรรมสิทธิ์ในรถยนต์ยังเป็นของโจทก์จนกว่าจำเลยที่ 1 จะชำระราคาครบจึงจะได้กรรมสิทธิ์ และในระหว่างนั้น หากรถยนต์เกิดสูญหายหรือชำรุดบุบสลายจำเลยที่ 1 ต้องรับผิดชดใช้ราคารถยนต์ทั้งคันแก่โจทก์ จำเลยที่ 2ได้ยอมตนเข้าค้ำประกันการชำระราคาดังกล่าวไว้แก่โจทก์ โดยยอมรับผิดร่วมกับจำเลยที่ 1 อย่างลูกหนี้ร่วม เมื่อจำเลยที่ 1 ซื้อรถยนต์จากโจทก์แล้ว จำเลยที่ 1 คงชำระราคาให้โจทก์เพียง 46,795 บาทแล้วไม่ชำระให้อีก โจทก์ทวงถามหลายครั้ง จำเลยเพิกเฉย โจทก์ให้ทนายความมีหนังสือบอกเลิกสัญญา และให้ชำระหนี้ไปยังจำเลยทั้งสองจำเลยทั้งสองได้รับหนังสือทวงถามแล้วไม่ชำระหนี้ให้ ขอให้บังคับจำเลยทั้งสองส่งมอบรถยนต์พิพาทคืนให้แก่โจทก์ หากคืนไม่ได้ให้จำเลยทั้งสองใช้ราคาในส่วนที่ขาดจำนวน 176,575 บาท พร้อมดอกเบี้ยแก่โจทก์
จำเลยที่ 1 ให้การว่า จำเลยที่ 1 มิได้ผิดสัญญา ขณะที่จำเลยที่ 1 ทำสัญญาซื้อรถยนต์พิพาทจากโจทก์ โจทก์ได้จัดให้บริษัทสินมั่นคงประกันภัย จำกัด เป็นผู้รับประกันภัย และโจทก์เป็นผู้รับผลประโยชน์โดยตรง ในระหว่างอายุสัญญาประกันภัยรถยนต์พิพาทเกิดอุบัติเหตุชนกับรถยนต์บุคคลอื่นและไฟลุกไหม้เสียหาย จำเลยที่ 1ได้แจ้งเรื่องที่เกิดอุบัติเหตุให้โจทก์ทราบเพื่อเรียกเงินประกันจากบริษัทสินมั่นคงประกันภัย จำกัด และแจ้งให้บริษัทสินมั่นคงประกันภัย จำกัด จ่ายเงินตามสัญญาประกันแก่โจทก์จำเลยที่ 1 จึงหมดภาระผูกพันกับโจทก์ทุกประการ ทั้งได้ส่งมอบรถยนต์พิพาทให้โจทก์แล้ว จำเลยที่ 1 จึงไม่ต้องรับผิดในค่าเสียหายต่อโจทก์ ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ 2 ให้การว่า การซื้อขายรถยนต์พิพาทรายนี้มีประกันภัยโดยโจทก์เป็นผู้รับผลประโยชน์จึงควรที่โจทก์จะเรียกร้องเอาจากบริษัทสินมั่นคงประกันภัย จำกัด จำเลยที่ 2 ไม่ต้องรับผิดค่าเสียหายและดอกเบี้ยตามฟ้อง ขอให้ยกฟ้อง
ระหว่างพิจารณา จำเลยทั้งสองยื่นคำร้องขอให้เรียกบริษัทสินมั่นคงประกันภัย จำกัด เข้ามาเป็นจำเลยร่วมศาลชั้นต้นอนุญาต
จำเลยร่วมให้การว่า จำเลยร่วมได้รับประกันภัยรถยนต์พิพาทไว้จากจำเลยที่ 1 โดยจำกัดวงเงินคุ้มครองหรือกำหนดวงเงินทุนประกันในการชดใช้ค่าสินไหมทดแทนไม่เกิน 120,000 บาท โดยกรมธรรม์ประกันภัยได้กำหนดเงื่อนไขของสัญญาให้โจทก์เป็นผู้รับผลประโยชน์เฉพาะในกรณีอันเนื่องจากรถยนต์คันเอาประกันภัยได้สูญหายหรือเกิดความเสียหายในเหตุวินาศภัยหรืออุบัติเหตุที่ไม่อาจซ่อมได้ ซึ่งจำเลยร่วมจะใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่โจทก์ในฐานะเป็นผู้รับประโยชน์ โจทก์บรรยายฟ้องและกล่าวอ้างโดยกำหนดข้อหาหรือฐานความผิดเรื่องผิดสัญญาซื้อขายค้ำประกัน จำเลยร่วมซึ่งถูกเรียกเข้ามาในคดีไม่ได้เกี่ยวข้องหรือมีนิติสัมพันธ์ในทางใด ๆ ต่อโจทก์หรือจำเลยทั้งสองจำเลยร่วมจึงไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์ หรือจำเลยที่ 1 โจทก์และจำเลยทั้งสองไม่เคยทวงถามให้จำเลยร่วมรับผิดตามสัญญา จำเลยร่วมจึงไม่ได้ต้องรับผิด จำเลยทั้งสองเป็นฝ่ายผิดสัญญาและโจทก์ได้รับมอบรถยนต์พิพาทคืนจากจำเลยที่ 1 แล้ว ดังนั้น หากจำเลยร่วมจะต้องรับผิดตามเงื่อนไขของกรมธรรม์ประกันภัย โจทก์มีหน้าที่ต้องส่งมอบและโอนกรรมสิทธิ์ในรถยนต์พิพาทให้แก่จำเลยร่วม สภาพหรือราคาซากรถยนต์พิพาทขณะที่โจทก์รับรถคืนไปจากจำเลยที่ 1 มีราคาประมาณ 50,000 บาท หากจำเลยร่วมต้องรับผิดต่อโจทก์ เมื่อหักราคาสภาพหรือซากรถยนต์พิพาทออกแล้วคงรับผิดชอบเพียง 70,000 บาทเท่านั้น ขอให้ยกฟ้องโจทก์
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสองและจำเลยร่วมรับผิดใช้เงินแก่โจทก์ โดยให้จำเลยร่วมชำระเงิน 120,000 บาท พร้อมดอกเบี้ย
จำเลยร่วมอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายืน
จำเลยร่วมฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงรับฟังได้เป็นยุติตามที่คู่ความไม่ได้โต้เถียงกันในชั้นฎีกาว่า เมื่อวันที่ 25 ตุลาคม 2528จำเลยที่ 1 ได้ทำสัญญาซื้อรถยนต์พิพาทจากโจทก์ในราคา 223,370 บาทได้ชำระราคาให้โจทก์ในวันทำสัญญา 41,750 บาท ส่วนที่เหลือกำหนดชำระให้โจทก์เป็นงวด งวดละ 5,045 บาท รวม 36 งวด และมีจำเลยที่ 2เป็นผู้ค้ำประกันจำเลยที่ 1 ได้ประกันภัยรถยนต์พิพาทไว้แก่จำเลยร่วมในทุนประกันภัย 120,000 บาท โดยให้โจทก์เป็นผู้รับประโยชน์ต่อมาจำเลยที่ 1 นำรถยนต์พิพาทไปใช้และชนกับรถยนต์บุคคลอื่นเป็นเหตุให้รถยนต์พิพาทเสียหายใช้การไม่ได้ จากนั้นจำเลยที่ 1ไม่ได้ผ่อนชำระราคารถยนต์พิพาทให้โจทก์อีก รวมจำเลยที่ 1 ได้ชำระราคารถยนต์พิพาทให้โจทก์แล้วเพียง 46,795 บาท คงค้างชำระราคาอยู่อีก 176,575 บาท โจทก์ได้บอกเลิกสัญญาซื้อขายต่อจำเลยที่ 1และได้ทวงถามจำเลยทั้งสองให้ชำระราคารถยนต์พิพาทในส่วนที่ยังค้างชำระ จำเลยทั้งสองไม่ได้ชำระเงินให้โจทก์ มีปัญหาที่จะวินิจฉัยว่าจำเลยร่วมต้องรับผิดชดใช้เงินให้โจทก์ดังคำพิพากษาของศาลล่างทั้งสองหรือไม่ ที่จำเลยร่วมฎีกาในปัญหานี้ว่า จำเลยทั้งสองจะขอให้ศาลเรียกจำเลยร่วมเข้ามาเป็นคู่ความในคดีนี้ไม่ได้ และที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษาให้จำเลยร่วมรับผิดชดใช้เงินให้โจทก์ตามสัญญาประกันภัยเป็นการพิพากษาเกินไปกว่าหรือนอกจากที่ปรากฏในคำฟ้องนั้น ศาลฎีกาเห็นว่า คดีนี้โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสองส่งมอบรถยนต์พิพาทคืนให้โจทก์ หากคืนไม่ได้ให้จำเลยทั้งสองใช้ราคารถยนต์พิพาทในส่วนที่ยังค้างชำระให้โจทก์ ซึ่งจำเลยที่ 1ให้การว่ารถยนต์พิพาทได้รับความเสียหายเพราะชนกับรถยนต์บุคคลอื่นต่อมาได้เกิดไฟลุกไหม้ และในทางพิจารณาก็ได้ความว่ารถยนต์พิพาทชนกับรถยนต์อื่นจนเสียหายใช้การไม่ได้จริง เห็นได้ว่า จำเลยทั้งสองไม่อาจคืนรถยนต์พิพาทให้โจทก์ในสภาพเรียบร้อยใช้งานได้ดี ซึ่งหากจำเลยทั้งสองต้องชำระราคารถยนต์พิพาทให้โจทก์ จำเลยที่ 1 ในฐานะเป็นผู้เอาประกันภัยรถยนต์ไว้กับจำเลยร่วม และจำเลยที่ 2ในฐานะผู้ค้ำประกันที่ต้องร่วมกับจำเลยที่ 1 ชดใช้ราคารถยนต์พิพาทให้โจทก์ย่อมมีสิทธิไล่เบี้ยฟ้องเรียกค่าทดแทนสำหรับความเสียหายของรถยนต์พิพาทจากจำเลยร่วมผู้รับประกันภัยรถยนต์คันดังกล่าวจำเลยทั้งสองจึงขอให้เรียกจำเลยร่วมเข้ามาเป็นคู่ความในคดีนี้ได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 57(3) และเมื่อศาลชั้นต้นได้มีหมายเรียกจำเลยร่วมเข้ามาเป็นคู่ความในคดีตามที่จำเลยทั้งสองร้องขอดังกล่าวแล้ว ศาลล่างทั้งสองย่อมมีอำนาจพิพากษาให้จำเลยร่วมชดใช้ค่าเสียหายที่จำเลยร่วมต้องรับผิดตามสัญญาประกันภัยให้โจทก์ได้จะถือว่าเป็นการพิพากษาเกินไปกว่าหรือนอกจากที่ปรากฏในคำฟ้องไม่ได้ จึงเห็นว่า จำเลยร่วมต้องรับผิดชดใช้เงินให้โจทก์
พิพากษายืน