คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 32/2483

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

เมื่อชะนิดอุตสาหกรรมบุหรี่ไม่ต้องเสียค่าธรรมเนียมตามกฎกระทรวงการคลังแล้ว ผู้ประกอบอุตสาหกรรมยาสูบนั้นก็ไม่จำต้องได้รับอนุญาตจากอธิบดี

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยประกิบการอุตสาหกรรมยาสูบไม่รับอนุญาตจากอธิบดีและมียาสูบอันมิได้ปิดแสตมป์ยาสูปไว้จำหน่าย เจ้าพนักงานจับจำเลยได้พร้อมด้วยยาสูบหนัก ๑๗๘๓ กรัม ขอให้ลงโทษตาม พรบ ยาสูบ ๒๔๘๑ ม. ๒๘ ๒๖ ๒๘ ๒๙ และ กฎหมายอาญา ม. ๓๘ ๒๘
ศาลชั้นต้นเห็นว่า การประกอบอุตสาหกรรมยาสูบของจำเลยนั้น มิใช่เพื่อการค้า และฟังไม่ได้ว่าจำเลยได้จำหน่ายบุหรี่ที่ไม่มีแสตมป์ปิด จึงพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์เห็นว่า ข้อเท็จจริงฟังไม่ได้ว่าจำเลยทำขึ้นหรือมีบุหรี่อยุ่ในร้านจำเลยในวันหนึ่ง ๆ เกินกว่า ๒๐๐ มวนหรือจำเลยมีคนงานเกินกว่า ๑ คน น้ำหนักบุหรี่รายนี้ไม่ปรากฏว่าเกินกว่า ๒ กิโลกรัมฉะนั้นฟังไม่ได้ตามกฎกระทรวงการคลังออกตามความใน พรบ ยาสูบ ๒๔๘๑ (ฉะบับที่ ๒) ว่าจำเลยประกอบอุตสาหกรรมอันจะต้องขออนุญาตอธิบดี และข้อเท็จจริงฟังไม่ได้ด้วยว่าจำเลยมียาสุบอันมิได้ปิดแสตมป์ไว้เพื่อจำหน่ายจึงพิพากษายื่นตามศาลชั้นต้น
โจทก์ฎีกา ว่ากฎหมายมิได้บัญญัติว่าถ้าเป็นประเภทมิต้องเสียค่าธรรมเนียม ไม่ต้องมี อนุญาต ฉะนั้นผู้ประกอบอุตสาหกรรมทุกคนจำต้องรับอนุญาตจากอธิบดี
ศาลฎีกาเห็นว่า เมื่ออ่าน ม. ๑๕ ๑๖ แห่ง พรบ ยาสูบนั้นด้วยกันแล้วจะเห็นได้ว่าการรับอนุญาต กับค่าธรรมเนียมใบอนุญาตในเรื่องยาสูบนั้นเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน กล่าวคือรับอนุญาตก้ต้องเสียค่าธรรมเนียมใบอนุญาต เมื่อข้อเท็จจริงเข้าในกรณีไม่ต้องเสียค่าธรรมเนียมใบอนุญาตก็ไม่ต้องขอรับอนุญาต ส่วนข้อหาที่ว่าจำเลยจำหน่ายยาสูบอันมิได้ปิดแสตมป์นั้น ศาลล่างทั้งสองได้พิพากษายกฟ้องโดยอาศัยข้อเท็จจริง โจทก์ ฎีกาในข้อเท็จจริงจึงต้องห้ามตาม ประมวล วิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๒๑๙ จึงไม่รับไว้ วินิจฉัย พิพากษายืนตามศาลอุทธรณ์ ให้ยกฟ้อง โจทก์

Share