แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
พระราชบัญญัติออกโฉนดที่ดิน (ฉบับที่ 6) พ.ศ.2479 มาตรา 11วรรคสอง ที่บัญญัติว่า “ตราจองที่ตราว่า “ได้ทำประโยชน์แล้ว” นั้นผู้ถือมีกรรมสิทธิ์ตามกฎหมาย” หมายความว่าตราจองนั้นมีผลเท่ากับโฉนดเมื่อที่ดินพิพาทเป็นส่วนหนึ่งของที่ดินตราจองที่ตราว่าได้ทำประโยชน์แล้วและมีชื่อจำเลยเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์จำเลยจึงได้กรรมสิทธิ์ในที่พิพาทและจะเสียกรรมสิทธิ์ในที่ดินตามตราจองนี้ก็ต่อเมื่อโจทก์ได้กรรมสิทธิ์ไปโดยการครอบครองปรปักษ์ อันมีอายุความ10 ปีตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1382
โจทก์ได้เข้าครอบครองปรปักษ์ในที่พิพาทยังไม่ถึง10 ปีจึงไม่ได้กรรมสิทธิ์
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าของที่ดิน 3 แปลง ได้มาโดยบุกเบิกหักสร้างด้วยตนเองในที่รกร้างว่างเปล่าและครอบครองต่อเนื่องกันมาด้วยความสงบเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของมาประมาณ 15 ปี โดยไม่มีผู้ใดเข้าเกี่ยวข้อง ต่อมาจำเลยนำรังวัดที่ดินของโจทก์ทั้ง 3 แปลง อ้างว่าเป็นที่ดินของจำเลย โจทก์ได้คัดค้านต่อเจ้าพนักงานที่ดินเจ้าพนักงานที่ดินได้เปรียบเทียบแต่ตกลงกันไม่ได้ จึงขอให้ศาลพิพากษาว่าที่ดินพิพาทเป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์ ห้ามจำเลยและบริวารเข้าเกี่ยวข้อง
จำเลยให้การว่า ที่พิพาทเป็นส่วนหนึ่งของที่ดินตามตราจองที่ตราว่าได้ทำประโยชน์แล้ว เนื้อที่ 1,278 ไร่ ของจำเลย เมื่อปี พ.ศ. 2508 โจทก์ขอเข้าทำนาในที่พิพาท จำเลยอนุญาตให้โจทก์เข้าตกแต่งที่นาเดิม หักสร้างเนื้อที่นาใหม่โดยไม่ต้องเสียค่าตอบแทน 3 ปี หลังจากนั้นก็ให้แบ่งปันข้าวครึ่งหนึ่งให้จำเลย ส่วนสวนยางและสวนอาสินโจทก์ขอโค่นถางป่ายางพาราเก่าแล้วทำไร่และปลูกยางใหม่ขึ้นแทนสวนอาสิน โดยขอกรีดยางทั้งแปลงแบ่งปันผลประโยชน์กันคนละครึ่ง รวมที่นาและที่สวนซึ่งโจทก์ครอบครองไม่เกิน 20 ไร่ พ.ศ. 2514 จำเลยขอรังวัดเพื่อออกโฉนด โจทก์คัดค้านและนำคดีมาฟ้อง ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ที่ดินตราจองที่ตราว่าได้ทำประโยชน์แล้วตามพระราชบัญญัติออกโฉนดที่ดิน (ฉบับที่ 6) พ.ศ. 2479 มาตรา 11 วรรคสองบัญญัติว่า ตราจองที่ตราว่า “ได้ทำประโยชน์แล้ว” นั้น ผู้ถือมีกรรมสิทธิ์ตามกฎหมาย ซึ่งหมายความว่าตราจองนั้นมีผลเท่ากับโฉนด ทางพิจารณาคดีนี้โจทก์ยอมรับว่าที่ดินพิพาทเป็นส่วนหนึ่งของที่ดินตราจองที่ตราว่าได้ทำประโยชน์แล้ว และมีชื่อจำเลยเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ ฉะนั้น จำเลยจึงได้กรรมสิทธิ์ในที่พิพาทและจะเสียกรรมสิทธิ์ในที่พิพาทตามตราจองนี้ ก็ต่อเมื่อโจทก์ได้กรรมสิทธิ์ไปโดยการครอบครองปรปักษ์ อันมีอายุความ 10 ปี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1382 และฟังข้อเท็จจริงว่า โจทก์เข้าครอบครองที่พิพาทยังไม่ถึง 10 ปี โจทก์จึงไม่มีทางได้กรรมสิทธิ์โดยการครอบครองปรปักษ์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1382
พิพากษายืน