คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2686/2534

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

ผู้เสียหายซื้อสลากกาชาดถูกรางวัลรถจักรยานยนต์จำเลยแย่งสลากกาชาดฉบับดังกล่าวไปจากมือผู้เสียหายนำไปขอรับรถจักรยานยนต์ที่ถูกรางวัล ดังนี้เป็นการลักทรัพย์สลากกาชาดโดยฉกฉวยเอาซึ่งหน้าจำเลยมีความผิดฐานวิ่งราวทรัพย์

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 336 ให้จำเลยคืนรถจักรยานยนต์ของกลางหรือใช้ราคาเป็นเงิน12,000 บาท แก่ผู้เสียหาย
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 336 วรรคแรก จำคุก 4 ปี ให้จำเลยคืนรถจักรยานยนต์หรือใช้ราคาเป็นเงิน 12,000 บาท แก่ผู้เสียหาย
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ลงโทษจำคุกจำเลย 6 เดือนนอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยฎีกา โดยผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นอนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
ศาลฎีกาวินิจฉัย “คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยว่าจำเลยวิ่งราวทรัพย์ของผู้เสียหายตามฟ้องหรือไม่ โจทก์มีผู้เสียหาย นายนพพร ทองเติมนายก้ำ สติปัญญาและเด็กชายวิชัย หวานแหลม เป็นประจักษ์พยานต่างเบิกความว่า ผู้เสียหายเป็นผู้ซื้อสลากกาชาดฉบับที่ถูกรางวัลรถจักรยานยนต์จากดาราภาพยนตร์ที่ขายสลากกาชาด ขณะที่ผู้เสียหายเปิดซองที่บรรจุสลากดูสลากที่บรรจุอยู่ภายในซองเพียงครึ่งเดียว ผู้เสียหาย นายนพพร นายก้ำ เด็กชายวิชัยและจำเลยซึ่งยืนอยู่ด้วยกันได้เห็นว่าเป็นสลากที่ถูกรางวัลรถจักรยานยนต์ จำเลยซึ่งยืนอยู่ข้างผู้เสียหายได้แย่งสลากกาชาดฉบับที่ถูกรางวัลไปจากมือผู้เสียหาย แล้วขึ้นไปบนเวทีเพื่อขอรับรถจักรยานยนต์ นอกจากนี้เมื่อจำเลยแย่งสลากกาชาดฉบับที่ถูกรางวัลไปจากมือผู้เสียหายแล้ว ผู้เสียหายได้ทักท้วงจำเลยว่าเอาของผมไปทำไม ซึ่งความข้อนี้นายนพพร นายก้ำและเด็กชายวิชัยก็เบิกความรับรอง และวันรุ่งขึ้นจากคืนเกิดเหตุผู้เสียหายได้เล่าเหตุการณ์ดังกล่าวให้นางซิ้วกีนายจ้างทราบเห็นว่านายนพพร นายก้ำและเด็กชายวิชัยรู้จักกับผู้เสียหายและจำเลยไม่มีส่วนได้เสียในสลากกาชาดฉบับที่ถูกรางวัลและไม่เคยมีสาเหตุโกรธเคืองกับจำเลยมาก่อนเกิดเหตุหากไม่จริงแล้ว คงจะไม่เบิกความกลั่นแกล้งใส่ร้ายจำเลย ประกอบกับจำเลยเบิกความตอบคำถามค้านว่าวันรุ่งขึ้นจากคืนเกิดเหตุ นางซิ้วกีนายจ้างผู้เสียหายกับผู้เสียหายและพวกไปพบจำเลย นางซิ้วกีพูดว่าถ้าไม่คืนรถจักรยานยนต์ให้ผู้เสียหายก็จะดำเนินการทางเจ้าพนักงานตำรวจ ส่วนผู้เสียหายได้ชี้มาที่จำเลยแล้วพูดว่า คนนี้เป็นคนขี้โกงเอารถของผู้เสียหายไป จึงทำให้คำเบิกความของประจักษ์พยานโจทก์ดังกล่าวสมเหตุสมผล ฟังได้ปราศจากความสงสัย ที่จำเลยนำสืบว่าจำเลยเป็นผู้ซื้อสลากกาชาดที่ถูกรางวัลรถจักรยานยนต์นั้น เห็นว่าพยานหลักฐานของจำเลยขัดกันไม่สมเหตุสมผลกล่าวคือ จำเลยเบิกความเกี่ยวกับการซื้อสลากกาชาดว่าเมื่อไปถึงร้านรื่นเริงดาราจำเลยได้ซื้อสลากกาชาดทันทีเป็นเงิน 200 บาท ได้สลากจำนวน 12 ซองและตอบคำถามค้านว่าได้ทำการฉีกซองสลากจากซองที่ 12 ไปหาซองที่ 1โดยซองที่ 10 เป็นซองที่บรรจุสลากฉบับที่ถูกรางวัลรถจักรยานยนต์แต่ตามหนังสือขอความเป็นธรรมของจำเลยตามเอกสารหมาย จ.9ซึ่งจำเลยได้ทำขึ้นหลังจากเกิดเหตุแล้วไม่นานกลับระบุว่าซื้อสลากกาชาดคนละประมาณ 3 ซอง และเมื่อซื้อสลากกาชาดซองที่ 1ก็ซื้อได้สลากฉบับที่ถูกรางวัลรถจักรยานยนต์ โดยจำเลยฉีกสลากฉบับที่ถูกรางวัลทันทีหลังจากที่รับสลากมาจากผู้ขาย ที่จำเลยและนางสาวอาภาวดี เฉลิมศิริ พยานจำเลยเบิกความว่านางสาวอาภาวดีได้นำซองสลากกาชาดมาส่องไฟดูก่อนขายให้แก่จำเลยเพียงคนเดียว เพื่อให้จำเลยถูกรางวัล ก็ขัดต่อเหตุผลเพราะได้ความจากคำเบิกความของนายเปล่งศักดิ์ ประภาศเภสัชรองประธานกรรมการอำนวยการร้านรื่นเริงดาราพยานจำเลยว่าในคืนเกิดเหตุมีคนยืนอยู่ใกล้กับเวทีมีจำนวนประมาณ 800 ถึง 1,000 คนการเดินไปมาลำบาก หากเหตุการณ์เป็นไปตามที่นางสาวอาภาวดีเบิกความ นางสาวอาภาวดีคงจะถูกประชาชนต่อว่า และการกระทำดังกล่าวก็จะทำให้ขายสลากกาชาดได้น้อยซึ่งขัดกับวัตถุประสงค์ของคณะกรรมการร้านรื่นเริงดาราที่ต้องการขายสลากกาชาดให้ได้จำนวนมากที่สุด พิเคราะห์ตามคำเบิกความของนายเปล่งศักดิ์พยานจำเลยแล้ว เห็นว่า นางสาวอาภาวดีน่าจะไม่มีโอกาสกระทำการเช่นที่เบิกความได้ สำหรับการประกาศเกี่ยวกับการรับรางวัลจำเลยเบิกความว่า นายไพจิตร ศุภวารี เป็นผู้ประกาศว่าจำเลยเป็นผู้ถูกรางวัล หากมีผู้ใดคัดค้านให้ขึ้นมาคัดค้านได้แต่นางสาวอาภาวดีเบิกความว่ามีดาราชื่อภาวนา ชนะจิต เป็นผู้ประกาศ นายเปล่งศักดิ์พยานจำเลยอีกปากหนึ่งเบิกความว่าโฆษกมิได้ประกาศว่า หากบุคคลใดจะคัดค้านให้คัดค้านเสียภายในระยะเวลากำหนดเพราะยังไม่เคยปรากฏเหตุการณ์อย่างคดีนี้แตกต่างกันอีกจึงรับฟังเป็นความจริงไม่ได้ ส่วนข้อฎีกาอื่น ๆและคำแถลงการณ์ของจำเลย เห็นว่าไม่ใช่ข้อสำคัญอันจะทำให้ไม่เชื่อฟังพยานโจทก์แต่อย่างใด จึงไม่จำต้องวินิจฉัย พยานหลักฐานจำเลยไม่มีน้ำหนักหักล้างพยานหลักฐานโจทก์ได้ เชื่อว่าจำเลยวิ่งราวทรัพย์ของผู้เสียหายจริงตามฟ้อง ฎีกาจำเลยฟังไม่ขึ้นแต่ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษาให้จำเลยคืนรถจักรยานยนต์หรือใช้ราคาเป็นเงิน 12,000 บาท แก่ผู้เสียหายนั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วยเพราะข้อเท็จจริงฟังได้แล้วว่า เจ้าพนักงานตำรวจได้ยึดรถจักรยานยนต์ที่จำเลยได้รับรางวัลเป็นของกลางแล้วสมควรแก้ไขให้ถูกต้อง”
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกคำขอของโจทก์ที่ขอให้จำเลยคืนรถจักรยานยนต์ของกลางหรือใช้ราคาเป็นเงิน 12,000 บาทแก่ผู้เสียหาย นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์

Share