คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1519/2521

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยกับพวกร่วมกันกระทำความผิดฐานพยายามปล้นทรัพย์รถยนต์บรรทุก 10 ล้อ ที่บรรทุกสินค้า โดยพวกจำเลยขับรถยนต์กระบะตามหลังรถบรรทุกที่จะปล้นไปในระยะกระชั้นชิด แล้วจำเลยได้ปีนจากรถกระบะขณะที่แล่นตามหลังรถบรรทุกขึ้นไปบนรถบรรทุก เห็นได้ว่าจำเลยได้ใช้รถกระบะเป็นยานพาหนะเพื่อกระทำผิดฐานพยายามปล้นทรัพย์รายนี้แล้ว และถือได้ว่ารถยนต์กระบะนั้นเป็นทรัพย์สินซึ่งจำเลยได้ใช้ในการกระทำผิดศาลจึงมีอำนาจสั่งริบเสียได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องใจความว่า จำเลยกับพวกที่ยังไม่ได้ตัวมาฟ้องอีก 7 คนได้บังอาจร่วมกันมีปืนและมีดเป็นอาวุธติดตัว และใช้รถยนต์เป็นยานพาหนะกระทำการปล้นทรัพย์รถยนต์บรรทุกพร้อมสินค้า 1 คัน ราคา 200,000 บาท ของห้างหุ้นส่วนจำกัดขนส่งภาคเหนือซึ่งนายสุรศักดิ์หรือสรศักดิ์ แสงทับทิม เป็นผู้จัดการ ขณะที่รถนั้นอยู่ในความครอบครองดูแลรักษาของนายมนูญ เซ่งซือ นายวิจัก สั้นเต็ง และนายเท้งไม่ทราบนามสุกล จำเลยกับพวกได้ลงมือกระทำการปล้นทรัพย์แล้ว แต่การกระทำนั้นไม่บรรลุผลเพราะนายมนุญ เซ่งซือ ขับรถยนต์พลัดตะแคงอยู่ข้างถนน เป็นเหตุให้จำเลยกับพวกไม่สามารถนำรถยนต์และสินค้าดังกล่าวไปได้ ในการปล้นทรัพย์จำเลยกับพวกยิงปืนมีดและใช้อาวุธปืนกับใช้รถยนต์เป็นยานพาหนะในการกระทำความผิด ตามวันเวลาดังกล่าวเจ้าพนักงานจับพวกของจำเลยได้ 1 คนและยึดได้ทรัพย์สินตามบัญชีของกลางท้ายฟ้องรวม 18 รายการ ซึ่งจำเลยกับพวกได้ใช้ในการกระทำความผิดเป็นของกลาง ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 340, 340 ตรี, 80, 83, 32, 33 ประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 11 ลงวันที่ 21 พฤศจิกายน 2514 ข้อ 14, 15 และริบของกลาง

จำเลยให้การปฏิเสธ

ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 340 วรรคสี่, 340 ตรี ประกาศของคณะปฏิวัติฉบับที่ 11 ลงวันที่ 21 พฤศจิกายน 2514 ข้อ 14, 15 ประกอบด้วยประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 80 ให้ลงโทษจำคุก 50 ปี ริบของกลาง เว้นแต่รองเท้า

จำเลยอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์

โจทก์ฎีกา

โจทก์นำสืบข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า เมื่อวันที่ 2 ธันวาคม 2518 เวลาประมาณ22 นาฬิกา นายมนูญ เซ่งซือ ขับรถยนต์บรรทุก 10 ล้อ ของห้างหุ้นส่วนจำกัดขนส่งภาคเหนือบรรทุกสินค้าจากกรุงเทพมหานครไปตามถนนสายเอเชีย เพื่อจะไปจังหวัดเชียงราย เวลาประมาณ 2 นาฬิกาของวันรุ่งขึ้น รถแล่นไปถึงสะพานเชียงราก ตำบลชีน้ำร้าย อำเภออินทร์บุรี จังหวัดสิงห์บุรี มีรถยนต์กระบะยี่ห้อดัทลันดับไฟหน้าแล่นตามหลังรถนายมนูญไปกระชั้นชิดแล้วคนที่นั่งในรถกระบะประมาณ 7-8 คนได้ปีนขึ้นไปบนรถของนายมนูญทางด้านหลัง 3 คนจ่าสิบตำรวจปทุม อุณหนันท์ สายตรวจตำรวจทางหลวงกับนายสุรศักดิ์ หรือสรศักดิ์หุ้นส่วนผู้จัดการห้างหุ้นส่วนจำกัดขนส่งภาคเหนือซึ่งออกตรวจท้องที่แถวนั้นเห็นเหตุการณ์เช่นนั้น จึงขับรถตามไปจนใกล้แล้วเปิดไฟหน้ารถ รถยนต์กระบะดัทสันรู้ตัว จึงเลี้ยวรถกลับแล่นไปทางสะพานเชียงรากและศาลฎีกาวินิจฉัยเชื่อว่าจำเลยได้กระทำความผิดฐานพยายามปล้นทรัพย์โดยใช้ปืนยิง

วินิจฉัยในปัญหาข้อกฎหมายว่า ส่วนข้อหาพยายามปล้นทรัพย์โดยใช้ยานพาหนะเพื่อกระทำผิดข้อเท็จจริงได้ความว่าจำเลยอยู่บนรถกระบะที่ใช้เป็นยานพาหนะในการปล้น และได้ปีนจากรถกระบะขณะที่แล่นตามหลังรถบรรทุกที่ถูกปล้นขึ้นมาบนรถบรรทุกนั้น เห็นได้ว่าจำเลยได้ใช้รถกระบะเป็นยานพาหนะเพื่อกระทำผิดฐานพยายามปล้นทรัพย์รายนี้แล้ว รถยนต์กระบะของกลางถือได้ว่าเป็นทรัพย์สินซึ่งจำเลยได้ใช้ในการกระทำความผิดฐานพยายามปล้นทรัพย์ศาลจึงมีอำนาจสั่งให้ริบเสียได้ส่วนของกลางอื่นเว้นแต่รองเท้าเป็นทรัพย์สินที่ได้ใช้หรือมีไว้เพื่อใช้ในการกระทำความผิดจึงให้ริบ

พิพากษากลับคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ เป็นว่าจำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 340 วรรคสี่ และ 340 ตรี ประกาศของคณะปฏิวัติฉบับที่ 11 ลงวันที่ 21 พฤศจิกายน 2514 ข้อ 14, 15 ประกอบด้วยมาตรา 80ให้จำคุก 50 ปี ลดโทษให้จำเลย 1 ใน 3 ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78คงจำคุก 33 ปี 4 เดือน ริบของกลาง เว้นแต่รองเท้า

Share