คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2675/2548

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

ณ. ทำสัญญาแปลงหนี้เงินกู้เป็นการซื้อขายรถยนต์แทน เป็นการแปลงหนี้ใหม่ตาม ป.พ.พ. มาตรา 349 วรรคแรก แต่สัญญาซื้อขายรถยนต์มีข้อตกลงเป็นเงื่อนไขว่าในระหว่างที่ผู้ขายยังไม่ส่งมอบทรัพย์สินที่ขายให้แก่ผู้ซื้อให้ถือว่ายังไม่มีการซื้อขาย ฉะนั้น จึงถือว่าเป็นกรณีที่หนี้อันจะพึงเกิดขึ้นเพราะแปลงหนี้ใหม่นั้นมิได้เกิดมีขึ้น หนี้เดิมยังไม่ระงับสิ้นไปตามมาตรา 351 จำเลยในฐานะทายาทของ ณ. จึงต้องรับผิดชดใช้หนี้เงินกู้ให้แก่โจทก์

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 1 เป็นภริยา จำเลยที่ 2 เป็นบิดาของนายณรงค์ชัย วงศ์อารีย์ นายณรงค์ชัยกับจำเลยที่ 1 ร่วมกันกู้ยืมเงินจากโจทก์ เมื่อไม่สามารถชำระหนี้ นายณรงค์ชัยจึงขายรถยนต์คันหมายเลขทะเบียน ก – 2013 พะเยา ให้โจทก์ในราคา 343,200 บาท แต่นายณรงค์ชัยไม่ส่งมอบรถยนต์คันดังกล่าวให้โจทก์กลับร่วมกับจำเลยทั้งสองนำรถไปซุกซ่อน โจทก์ได้ยื่นฟ้องนายณรงค์ชัยกับจำเลยทั้งสองให้ร่วมกันรับผิดต่อโจทก์ ต่อมานายณรงค์ชัยถึงแก่ความตาย โจทก์จึงถอนฟ้อง จำเลยทั้งสองในฐานะทายาทและเป็นผู้ร่วมกันครอบครองรถยนต์ต้องส่งมอบรถยนต์คันดังกล่าวให้แก่โจทก์หากไม่สามารถส่งมอบได้ ต้องร่วมกันคืนเงินหรือใช้ราคา 343,200 บาท ให้แก่โจทก์ แต่จำเลยทั้งสองเพิกเฉย ขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันส่งมอบรถยนต์หมายเลขทะเบียน ก – 2013 พะเยา ให้แก่โจทก์ หากส่งมอบไม่ได้ให้ร่วมกันคืนเงิน 343,200 บาทให้แก่โจทก์
จำเลยทั้งสองให้การว่า นายณรงค์ชัยไม่เคยทำสัญญาขายรถยนต์คันพิพาทให้แก่โจทก์ นายณรงค์ชัยกู้ยืมเงินโจทก์แล้วมอบใบคู่มือจดทะเบียนรถยนต์คันดังกล่าวให้โจทก์ยึดถือไว้เป็นประกันและโจทก์ให้นายณรงค์ชัยลงชื่อในสัญญาซื้อขายที่ยังไม่ได้กรอกข้อความโดยมีข้อตกลงว่าสัญญาดังกล่าวไม่มีผลผูกพันใดๆ สัญญาซื้อขายจึงเป็นเอกสารปลอม ในสัญญาซื้อขายข้อ 2 มีข้อความว่าระหว่างที่ยังไม่ได้ส่งมอบรถยนต์ให้ถือว่ายังไม่มีการซื้อขาย จำเลยทั้งสองจึงไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 5 พิพากษากลับ ให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงิน 260,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปีของต้นเงิน 200,000 บาท นับแต่วันที่ 8 ธันวาคม 2537 และของต้นเงิน 60,000 บาท นับแต่วันที่ 20 มกราคม 2538 จนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ โดยให้หักเงินที่มีผู้ชำระหนี้แทนเมื่อวันที่ 8 พฤษภาคม และ 2 กรกฎาคม 2539 ครั้งละ 10,000 บาท รวมจำนวน 20,000 บาทออก ให้จำเลยทั้งสองร่วมกันใช้ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสองศาลแทนโจทก์โดยกำหนดค่าทนายความรวม 10,000 บาท แต่จำเลยทั้งสองไม่ต้องรับผิดเกินกว่าทรัพย์มรดกของนายณรงค์ชัย วงศ์อารีย์ ที่ตกทอดให้แก่ตน
จำเลยทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงรับฟังได้ในเบื้องต้นว่า นายณรงค์ชัย วงศ์อารีย์ เป็นสามีของจำเลยที่ 1 และเป็นบุตรของจำเลยที่ 2 เมื่อวันที่ 8 ธันวาคม 2537 นายณรงค์ชัยได้กู้ยืนเงินโจทก์จำนวน 200,000 บาทและมอบใบคู่มือจดทะเบียนรถยนต์หมายเลขทะเบียน ก – 2013 พะเยา ให้แก่โจทก์ยึดถือไว้เป็นประกัน ตามสำเนาภาพถ่ายสัญญากู้ยืมเงินเอกสารหมาย จ.1 และสำเนาภาพถ่ายใบคู่มือจดทะเบียนรถยนต์เอกสารหมาย จ.4 ต่อมาเมื่อวันที่ 20 มกราคม 2538 นายณรงค์ชัยได้กู้ยืมเงินโจทก์อีกจำนวน 60,000 บาท ตามสำเนาภาพถ่ายสัญญากู้ยืมเงินเอกสารหมาย จ.2 หลังจากนั้นนายณรงค์ชัยไม่ชำระหนี้ให้แก่โจทก์ จำเลยที่ 2 จึงรับจะชำระหนี้แทนและได้สั่งจ่ายเงินตามเช็คธนาคารกสิกรไทย จำกัด สาขาพะเยา ลงวันที่ 30 พฤศจิกายน 2538 จำนวนเงิน 343,200 บาท เพื่อชำระหนี้ต้นเงินและดอกเบี้ยพร้อมทั้งค่าเสียหายมอบให้แก่โจทก์ แต่ธนาคารตามเช็คปฏิเสธการจ่ายเงินดังปรากฏหลักฐานตามสำเนาภาพถ่ายเช็คและใบคืนเช็คเอกสารหมาย จ.5 ต่อมาวันที่ 15 เมษายน 2539 นายณรงค์ชัยได้ทำสัญญาขายรถยนต์หมายเลขทะเบียน ก – 2013 พะเยา ให้แก่โจทก์และได้มอบใบคู่มือจดทะเบียนรถให้โจทก์ยึดถือไว้เป็นประกันแทนการชำระหนี้ ดังปรากฏตามสำเนาภาพถ่ายหนังสือสัญญาซื้อขายเอกสารหมาย จ.6 แต่หลังจากนั้นนายณรงค์ชัยไม่ได้ส่งมอบรถยนต์คันดังกล่าวให้แก่โจทก์ โจทก์จึงฟ้องนายณรงค์ชัยกับจำเลยทั้งสองเป็นคดีอาญาในข้อหายักยอกทรัพย์ และนายณรงค์ชัยถึงแก่ความตายในระหว่างการพิจารณาคดีอาญาดังกล่าว
คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยทั้งสองว่า ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 5 พิพากษาให้จำเลยทั้งสองรับผิดตามสัญญากู้เป็นการวินิจฉัยนอกคำฟ้องนอกประเด็นหรือไม่ เห็นว่า การที่นายณรงค์ชัยทำสัญญาขายรถยนต์ให้แก่โจทก์แทนการชำระหนี้โดยแปลงหนี้เงินกู้เป็นการซื้อขายรถยนต์แทนนั้นถือได้ว่าเป็นการแปลงหนี้ใหม่ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 349 วรรคแรก แล้ว อย่างไรก็ตามเมื่อพิเคราะห์สำเนาภาพถ่ายหนังสือสัญญาซื้อขายรถยนต์ตามเอกสารหมาย จ.6 แล้ว เห็นว่า มีข้อตกลงเป็นเงื่อนไขระบุไว้ในสัญญาซื้อขายข้อ 2 ว่า ในระหว่างที่ผู้ขายยังไม่ส่งมอบทรัพย์สินที่ขายให้แก่ผู้ซื้อให้ถือว่ายังไม่มีการซื้อขาย ฉะนั้น จึงถือว่าเป็นกรณีที่หนี้อันจะพึงเกิดขึ้นเพราะแปลงหนี้ใหม่นั้นมิได้เกิดมีขึ้น หนี้เดิมคือหนี้เงินกู้ยืมตามสำเนาภาพถ่ายสัญญากู้ยืมเงินเอกสารหมาย จ.1 และ จ.2 ยังหาระงับสิ้นไปไม่ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 351 ซึ่งในกรณีนี้ถือได้ว่าโจทก์มีหลักฐานแห่งการกู้ยืมเป็นหนังสือมาแสดงแล้วและไม่เป็นกรณีที่จำต้องติดอากรแสตมป์ตามประมวลรัษฎากรแต่อย่างใด อีกทั้งจำเลยทั้งสองก็นำสืบยอมรับว่านายณรงค์ชัยได้กู้ยืมเงินโจทก์ไปรวม 2 ครั้ง เป็นเงินรวมทั้งสิ้น 260,000 บาท จริง ดังนั้น จำเลยทั้งสองในฐานะทายาทของนายณรงค์ชัยจึงต้องรับผิดชดใช้หนี้เงินกู้ของนายณรงค์ชัยให้แก่โจทก์ แต่ไม่ต้องรับผิดเกินกว่าทรัพย์มรดกที่ตกทอดได้แก่ตนตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1600, 1601 ส่วนที่จำเลยทั้งสองฎีกาว่า ศาลอุทธรณ์ภาค 5 หยิบยกความรับผิดของนายณรงค์ชัยในเรื่องการกู้ยืมเงินมาวินิจฉัยอันเป็นการวินิจฉัยนอกคำฟ้องและนอกประเด็นนั้น เห็นว่า คำฟ้องของโจทก์ได้บรรยายให้เห็นโดยแจ้งชัดในเรื่องการกู้ยืมเงินเพื่อให้เห็นถึงมูลหนี้เดิมในคดีนี้ว่ามีความเป็นมาอย่างไร อีกทั้งโจทก์ยังนำสืบให้เห็นว่าความจริงเป็นดังที่โจทก์บรรยายฟ้องและจำเลยทั้งสองเองก็ยอมรับ ฉะนั้นการที่ศาลอุทธรณ์ภาค 5 วินิจฉัยความรับผิดของจำเลยทั้งสองในประเด็นนี้จึงไม่เป็นการเกินไปกว่าหรือนอกจากที่ปรากฏในคำฟ้อง ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 5 พิพากษาให้จำเลยทั้งสองชำระหนี้เงินกู้ยืมแก่โจทก์มานั้นจึงชอบแล้ว ฎีกาของจำเลยทั้งสองฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน ค่าทนายความชั้นฎีกาให้เป็นพับ

Share