คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8835/2542

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

โจทก์ฟ้องว่าจำเลยกระทำละเมิดลิขสิทธิ์และขอให้ลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2537 มาตรา 61 โดยกล่าวในฟ้องว่างานอันมีลิขสิทธิ์ของผู้สร้างสรรค์ตามคำฟ้องเป็นงานอันมีลิขสิทธิ์ของเมืองฮ่องกง ประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีน ซึ่งเป็นประเทศภาคแห่งอนุสัญญากรุงเบอร์ว่าด้วยการคุ้มครองวรรณกรรมและศิลปกรรมซึ่งประเทศไทยเป็นภาคีอยู่ด้วย ตามประกาศกระทรวงพาณิชย์ เรื่องกำหนดรายชื่อประเทศภาคีแห่งอนุสัญญาว่าด้วยการคุ้มครองลิขสิทธิ์หรืออนุสัญญาว่าด้วยการคุ้มครองสิทธิของนักแสดง ลงวันที่ 15พฤษภาคม 2539 จึงได้รับความคุ้มครองตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์พ.ศ. 2537 ถือได้ว่าโจทก์ได้บรรยายข้อเท็จจริงในคำฟ้องครบถ้วนตามบทบัญญัติมาตรา 61 แห่งกฎหมายดังกล่าวแล้ว แม้โจทก์จะไม่ได้กล่าวในคำฟ้องว่า กฎหมายของเมืองฮ่องกงซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีนได้ให้ความคุ้มครองเช่นเดียวกันแก่งานอันมีลิขสิทธิ์ของประเทศไทยซึ่งเป็นภาคีอยู่ด้วยก็ตาม ฟ้องของโจทก์ก็ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 158(5)ประกอบด้วยพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศและวิธีพิจารณาคดีทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศ พ.ศ. 2539 มาตรา 26 เพราะข้อเท็จจริงดังกล่าวเป็นข้อเท็จจริงอันเป็นองค์ประกอบของความผิดที่ต้องบรรยายในคำฟ้องตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2521 มาตรา 42ซึ่งถูกเลิกโดยพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2537 ส่วนมาตรา 61แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าวมิได้บัญญัติให้ข้อเท็จจริงดังกล่าวเป็นข้อเท็จจริงอันเป็นองค์ประกอบของความผิดฐานละเมิดลิขสิทธิ์ระหว่างประเทศอีกต่อไปแล้ว

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า อาศัยอำนาจตามความในมาตรา 61 วรรคสองแห่งพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2537 รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ได้ออกประกาศเรื่อง การกำหนดรายชื่อประเทศภาคีแห่งอนุสัญญาว่าด้วยการคุ้มครองลิขสิทธิ์หรืออนุสัญญาว่าด้วยการคุ้มครองสิทธินักแสดงเมื่อวันที่ 15 พฤษภาคม 2539 กำหนดให้ประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีนเป็นประเทศภาคีแห่งอนุสัญญากรุงเบอร์นว่าด้วยการคุ้มครองวรรณกรรมและศิลปกรรมซึ่งประเทศไทยเป็นภาคีอยู่ด้วย และประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีนได้รับความคุ้มครองตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2537นี้ด้วย ประกาศดังกล่าวได้ประกาศในราชกิจจานุเบกษาแล้ว และจำเลยได้ทราบแล้วบริษัทโกลเด้นมูวี่ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด ผู้เสียหายเป็นนิติบุคคลตามกฎหมายของเมืองฮ่องกงซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีนเป็นผู้สร้างสรรค์และเป็นเจ้าของลิขสิทธิ์ประเภทศิลปกรรม โสตทัศนวัสดุและภาพยนตร์เรื่อง ฮู แอน ไอ หรือเป็นภาษาไทยว่า ใหญ่เต็มฟัด และได้นำออกโฆษณาและเผยแพร่ครั้งแรกเมื่อวันที่ 17มกราคม 2541 ในเมืองฮ่องกงของประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีนซึ่งได้รับความคุ้มครองตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2537 เมื่อวันที่ 5สิงหาคม 2541 เวลากลางวัน จำเลยได้บังอาจกระทำการละเมิดลิขสิทธิ์ของผู้เสียหายโดยนำวิดีโอเทปภาพยนตร์ตัวอย่างเรื่อง ฮู แอน ไอ หรือใหญ่เต็มฟัด จำนวน 1 ม้วน ซึ่งเป็นต้นฉบับหรือสำเนางานโสตทัศนวัสดุภาพยนตร์อันเป็นลิขสิทธิ์ของผู้เสียหายออกเสนอให้เช่าแก่บุคคลทั่วไปเพื่อการค้าโดยไม่ได้รับอนุญาตจากผู้เสียหายอันเป็นการฝ่าฝืนต่อกฎหมายเจ้าพนักงานยึดม้วนเทปวิดีโอเทปจำนวน 1 ม้วน ที่เป็นโสตทัศนวัสดุภาพยนตร์ที่ละเมิดลิขสิทธิ์ดังกล่าวเป็นของกลาง จำเลยเป็นบุคคลเดียวกับจำเลยในคดีอาญาหมายเลขดำที่ ศปก.9/2541 ของศาลชั้นต้น ขอให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2537 มาตรา 4, 15, 28, 61, 69, 75และ 76 ประกาศกระทรวงพาณิชย์ เรื่อง การกำหนดรายชื่อประเทศภาคีแห่งอนุสัญญาว่าด้วยการคุ้มครองลิขสิทธิ์หรืออนุสัญญาว่าด้วยการคุ้มครองสิทธิของนักแสดง ลงวันที่ 15 พฤษภาคม 2539 ประมวลกฎหมายอาญามาตรา 33 และสั่งริบวิดีโอเทปภาพยนตร์ของกลางจ่ายค่าปรับให้แก่เจ้าของลิขสิทธิ์กึ่งหนึ่ง และนับโทษจำเลยนี้ต่อจากโทษของจำเลยในคดีอาญาหมายเลขดำที่ ศปก.9/2541 ของศาลชั้นต้น

จำเลยให้การรับสารภาพ

ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2537มาตรา 69 วรรคสอง จำคุก 6 เดือน และปรับ 100,000 บาท จำเลยให้การรับสารภาพลดโทษให้กึ่งหนึ่ง คงจำคุก 3 เดือน และปรับ 50,000บาท โทษจำคุกให้รอการลงโทษมีกำหนด 1 ปี ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 56 หากจำเลยไม่ชำระค่าปรับ ให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 29 และ 30 จ่ายค่าปรับแก่เจ้าของลิขสิทธิ์กึ่งหนึ่ง ให้ม้วนวิดีโอเทปของกลางตกเป็นของเจ้าของลิขสิทธิ์ตามมาตรา 75 ยกคำขอให้นับโทษจำเลยต่อจากโทษของจำเลยในคดีอาญาหมายเลขดำที่ ศปก.9/2541ของศาลชั้นต้น เพราะศาลมิได้พิพากษาลงโทษจำคุก ยกคำขอให้ริบของกลาง

จำเลยอุทธรณ์ต่อศาลฎีกา

ศาลฎีกาแผนกคดีทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศวินิจฉัยว่า “มีปัญหาข้อกฎหมายต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของจำเลยว่าฟ้องของโจทก์ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ เห็นว่า พระราชบัญญัติลิขสิทธิ์พ.ศ. 2537 มาตรา 61 บัญญัติว่า “งานอันมีลิขสิทธิ์ของผู้สร้างสรรค์ของประเทศที่เป็นภาคีแห่งอนุสัญญาว่าด้วยการคุ้มครองลิขสิทธิ์ซึ่งประเทศไทยเป็นภาคีอยู่ด้วย ย่อมได้รับความคุ้มครองตามพระราชบัญญัตินี้

ให้รัฐมนตรีมีอำนาจประกาศรายชื่อประเทศภาคีแห่งอนุสัญญาว่าด้วยการคุ้มครองลิขสิทธิ์ ในราชกิจจานุเบกษา” และปรากฏว่าโจทก์ได้กล่าวในฟ้องว่า งานอันมีลิขสิทธิ์ของผู้สร้างสรรค์ตามคำฟ้องเป็นงานอันมีลิขสิทธิ์ของเมืองฮ่องกง ประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีนซึ่งเป็นประเทศภาคีแห่งอนุสัญญากรุงเบอร์นว่าด้วยการคุ้มครองวรรณกรรมและศิลปกรรมซึ่งประเทศไทยเป็นภาคีอยู่ด้วย ตามประกาศกระทรวงพาณิชย์ เรื่องกำหนดรายชื่อประเทศภาคีแห่งอนุสัญญาว่าด้วยการคุ้มครองลิขสิทธิ์หรืออนุสัญญาว่าด้วยการคุ้มครองสิทธิของนักแสดง ลงวันที่ 15 พฤษภาคม2539 จึงได้รับความคุ้มครองตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2537ดังนี้ ถือได้ว่าโจทก์ได้บรรยายข้อเท็จจริงในคำฟ้องครบถ้วนตามบทบัญญัติมาตรา 61 แห่งกฎหมายดังกล่าวแล้ว แม้โจทก์จะไม่ได้กล่าวในคำฟ้องว่ากฎหมายของเมืองฮ่องกงซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีนได้ให้ความคุ้มครองเช่นเดียวกันแก่งานอันมีลิขสิทธิ์ของประเทศไทยซึ่งเป็นภาคีอยู่ด้วย ดังที่จำเลยอุทธรณ์ก็ตาม ฟ้องของโจทก์ก็ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 158(5) ประกอบด้วยพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศและวิธีพิจารณาคดีทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศ พ.ศ. 2539 มาตรา 26เพราะข้อเท็จจริงดังกล่าวเป็นข้อเท็จจริงอันเป็นองค์ประกอบของความผิดที่ต้องบรรยายในคำฟ้องตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2521 มาตรา 42ซึ่งถูกยกเลิกโดยพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2537 แล้ว คดีนี้โจทก์ฟ้องว่าจำเลยกระทำละเมิดลิขสิทธิ์และขอให้ลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2537 ซึ่งมาตรา 61 แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าวมิได้บัญญัติให้ข้อเท็จจริงดังกล่าวเป็นข้อเท็จจริงอันเป็นองค์ประกอบของความผิดฐานละเมิดลิขสิทธิ์ระหว่างประเทศอีกต่อไป โจทก์จึงไม่จำต้องบรรยายข้อเท็จจริงดังที่จำเลยอุทธรณ์ในคำฟ้อง”

พิพากษายืน

Share