คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2265/2528

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ตัวเมืองนครศรีธรรมราชเก่าเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า มีกำแพงเมืองล้อมรอบทั้งสี่ด้าน นอกกำแพงเมืองมีคูล้อมรอบเช่นเดียวกันคูเมืองกว้างประมาณ 10 วาโดยตลอดตัวเมืองนครศรีธรรมราชเก่าเป็นของทางราชการและสถานที่ราชการใช้ บริหารราชการแผ่นดินในเขตเมืองนครศรีธรรมราช ฉะนั้น เมืองนครศรีธรรมราชเก่าจึงเป็นของหลวงหรือทรัพย์สินใช้เพื่อ ประโยชน์ของแผ่นดินโดยเฉพาะผู้ใดจะถือเอาครอบครองเป็น กรรมสิทธิ์ส่วนตัวหาได้ไม่แม้ต่อมาจะปรากฏว่าได้มีการรื้อกำแพงเมืองลงบางส่วนเหลือแต่ฐานกำแพงเมืองแล้วใช้ ฐานกำแพงทำเป็นถนน และคูเมืองได้ตื้นเขินขึ้นเป็นที่ราบ แล้วมีราษฎรไปครอบครองปลูกเรือนอยู่อาศัยและใช้เป็น ที่ทำกินรวมถึงที่ดินพิพาทที่จำเลยครอบครองอยู่ด้วย ก็หาได้ทำให้ฐานะของเมืองนครศรีธรรมราชเก่าพ้นสภาพจากการเป็นของหลวงหรือแผ่นดินไม่โดยเฉพาะคูเมืองแต่เดิมทาง ราชการสมัยก่อนใช้เป็นที่ป้องกันข้าศึกศัตรูจึงเป็น สาธารณสมบัติของแผ่นดินตามอนุมาตรา (3) แห่ง ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1304 และเป็นที่ราชพัสดุ ตาม มาตรา 4 แห่งพระราชบัญญัติที่ราชพัสดุ พ.ศ.2518 ด้วยแม้ที่พิพาทจะมีสภาพเป็นที่นาแต่ก็ยังเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินอันเป็นที่ราชพัสดุจำเลยจึงหาได้ สิทธิครอบครองไม่ โจทก์ร่วมเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทซึ่งเป็นที่ราชพัสดุ ตามพระราชบัญญัติที่ราชพัสดุ พ.ศ.2518 มาตรา 5 โจทก์ร่วม ย่อมมีสิทธิให้โจทก์เช่าที่ดินพิพาทได้เมื่อจำเลยเข้า ครอบครองที่ดินพิพาทอยู่ไม่ยอมออกไปโจทก์และโจทก์ร่วม ย่อมมีอำนาจฟ้องขับไล่จำเลยได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์มีสิทธิครอบครองที่ดินราชพัสดุของกระทรวงการคลัง 1 แปลงตั้งอยู่คูเมืองเก่า ถนนศรีธรรมโศก โดยการเช่าเป็นรายปีจากกระทรวงการคลัง โจทก์ได้เข้าครอบครองที่ดินพิพาทโดยปลูกบ้านอยู่อาศัย ต่อมาจำเลยบุกรุกเข้าไปในที่ดินพิพาทแย่งยึดถือการครอบครองจนโจทก์ไม่อาจอยู่ได้ จำต้องรื้อถอนบ้านเรือนออกไปจากที่ดินพิพาท การกระทำของจำเลยทั้งสองทำให้โจทก์ได้รับความเสียหายจึงขอให้ขับไล่จำเลยออกไปจากที่ดินพิพาทและใช้ค่าเสียหาย 6,132 บาทแก่โจทก์
โจทก์ยื่นคำร้องว่า โจทก์อาจฟ้องกระทรวงการคลังเพื่อการใช้สิทธิไล่เบี้ยหรือเพื่อใช้ค่าทดแทนได้ เพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรม ขอให้เรียกกระทรวงการคลังผู้ให้เช่าเข้ามาเป็นโจทก์ร่วมในคดีนี้
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้เรียกกระทรวงการคลังเข้ามาเป็นโจทก์ร่วม
จำเลยทั้งสองให้การว่า โจทก์ไม่เคยมีหรือได้สิทธิครอบครองที่ดินราชพัสดุของกระทรวงการคลัง จำเลยมีกรรมสิทธิ์และสิทธิครอบครองที่ดินแปลงใหญ่ 1 แปลงตั้งอยู่ทางด้านทิศตะวันออกของถนนศรีธรรมโศก โดยได้มาจากการซื้อขายจากนางพับ ถนอมบูรณ์ ราว 9 ปีก่อนให้การ แล้วจำเลยที่ 1 ได้เข้าครอบครองที่ดินพิพาทโดยความสงบและเปิดเผยเพื่อตนเองและผู้อื่น ทั้งได้แบ่งสรรปันส่วนให้ญาติมิตรบ้างให้เช่าบ้าง ต่อมาเมื่อเดือนกรกฎาคม 2518 ทางอำเภอเมืองนครศรีธรรมราชประกาศให้ราษฎรที่ครอบครองที่ดินด้านทิศตะวันออกของถนนศรีธรรมโศกทั้งหมดไปยื่นคำร้องขอเช่าที่ดินดังกล่าวต่ออำเภอเมืองนครศรีธรรมราช จำเลยกับราษฎรมากรายได้ยื่นคำร้องคัดค้าน โจทก์จึงไม่มีอำนาจมาฟ้องจำเลยอีก ส่วนจำเลยที่ 2 ไม่มีกรณีเกี่ยวข้องอะไรกับที่ดินพิพาท ขอให้ยกฟ้องโจทก์
โจทก์ร่วมยื่นคำร้องว่า โจทก์ร่วมเป็นกระทรวงในรัฐบาลเป็นนิติบุคคลมีหน้าที่ปกครองรักษาและผู้ถือกรรมสิทธิ์ในที่ราชพัสดุของแผ่นดินหรือของรัฐบาลทั่วราชอาณาจักร เฉพาะที่ดินพิพาทคดีนี้ เป็นที่ดินส่วนหนึ่งอยู่ในทะเบียนที่หลวงหวงห้ามเลขที่ 41664 และโจทก์เป็นผู้เช่าครอบครองอาศัยอยู่ในที่ดินพิพาท มีเนื้อที่174 ตารางวา จำเลยทั้งสองไม่มีสิทธิครอบครองและไม่มีสิทธิใด ๆ ในที่ดินพิพาทจำเลยทั้งสองได้ร่วมกันบุกรุกเข้าแย่งยึดถือครอบครองที่ดินพิพาท เป็นการแย่งกรรมสิทธิ์และสิทธิครอบครองที่ดินราชพัสดุ ขอให้บังคับขับไล่จำเลยทั้งสองพร้อมด้วยบริวารออกจากที่ดินพิพาท
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว พิพากษาให้ขับไล่จำเลยทั้งสองและบริวารโดยให้รื้อถอนสิ่งปลูกสร้างออกไปจากที่ดินพิพาท ให้ร่วมกันใช้ค่าเสียหายให้แก่โจทก์เป็นเงิน 1,566 บาท
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิจารณาแล้วพิพากษายืน
จำเลยทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาเชื่อพยานของโจทก์ร่วมและวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงจึงฟังได้ความแน่นอนว่าตัวเมืองนครศรีธรรมราชเก่าเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า มีกำแพงเมืองล้อมรอบทั้งสี่ด้านนอกกำแพงเมืองมีคูล้อมรอบเช่นเดียวกัน คูเมืองกว้างประมาณ 10 วาโดยตลอดตัวเมืองนครศรีธรรมราชเก่าเป็นของทางราชการและสถานที่ราชการใช้บริหารราชการแผ่นดินในเขตเมืองนครศรีธรรมราช ฉะนั้นเมืองนครศรีธรรมราชเก่าจึงเป็นของหลวงหรือทรัพย์สินใช้เพื่อประโยชน์ของแผ่นดินโดยเฉพาะ ผู้ใดจะถือเอาครอบครองเป็นกรรมสิทธิ์ส่วนตัวหาได้ไม่ แม้ต่อมาจะปรากฏว่าได้มีการรื้อกำแพงเมืองลงบางส่วนจนเหลือแต่ฐานกำแพงเมือง แล้วใช้ฐานกำแพงทำเป็นถนน สำหรับกำแพงเมืองด้านทิศตะวันออกกลายเป็นถนนศรีธรรมโศก ในปัจจุบันนี้ก็ดี และคูเมืองได้ตื้นเขินขึ้นเป็นที่ราบแล้วมีราษฎรไปครอบครองปลูกเรือนอยู่อาศัยและใช้เป็นที่ทำกินรวมถึงที่ดินพิพาทที่จำเลยครอบครองอยู่ด้วยก็ดี หาได้ทำให้ฐานะของเมืองนครศรีธรรมราชเก่าพ้นสภาพจากการเป็นของหลวงหรือแผ่นดินไม่ โดยเฉพาะคูเมืองแต่เดิมทางราชการสมัยก่อนใช้เป็นที่ป้องกันข้าศึกศัตรู จึงเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินตามอนุมาตรา (3)แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1304 แต่ต่อมาคูเมืองได้ตื้นเขินขึ้นทางราชการมิได้ใช้ประโยชน์ต่อไปอีก คูเมืองเก่าย่อมเป็นที่ราชพัสดุตามมาตรา 4แห่งพระราชบัญญัติที่ราชพัสดุ พ.ศ. 2518 ด้วย หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งว่าคูเมืองนครศรีธรรมราชเก่าเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินอันเป็นที่ราชพัสดุ การที่จำเลยนำสืบว่าสภาพที่ดินพิพาทเป็นที่นา แม้จะฟังได้เป็นความจริงดังจำเลยกล่าวอ้างที่ดินพิพาทก็ยังเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินอันเป็นที่ราชพัสดุ จำเลยจึงหาได้สิทธิครอบครองที่ดินพิพาทไม่ เมื่อโจทก์ร่วมซึ่งเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทตามบทบัญญัติของมาตรา 5 แห่งพระราชบัญญัติที่ราชพัสดุ พ.ศ. 2518 โจทก์ร่วมย่อมมีสิทธิให้โจทก์เช่าที่ดินพิพาทได้ ดังนั้นโจทก์และโจทก์ร่วมย่อมมีอำนาจฟ้องขับไล่จำเลยทั้งสองออกจากที่ดินพิพาทได้ ฎีกาข้อนี้ของจำเลยทั้งสองฟังไม่ขึ้น
ที่จำเลยทั้งสองฎีกาว่าศาลอุทธรณ์พิพากษาให้จำเลยใช้ค่าเสียหายให้แก่โจทก์เป็นค่าเช่า 522 บาท ค่าธรรมเนียมการเช่า 1,044 บาท รวม 1,566 บาท จำเลยทั้งสองไม่ควรจะต้องรับผิดในค่าเช่าเหล่านั้น ศาลฎีกาเห็นว่า จำเลยทั้งสองมิได้อุทธรณ์โต้แย้งไว้ในคำฟ้องอุทธรณ์ของจำเลยทั้งสอง จึงเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลอุทธรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 ศาลฎีกาจึงไม่วินิจฉัยให้
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ

Share