แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
ในชั้นอุทธรณ์จำเลยได้ยกข้อเท็จจริงขึ้นอุทธรณ์แต่ศาลอุทธรณ์มิได้หยิบยกขึ้นวินิจฉัย จำเลยก็ไม่ได้ฎีกาโต้แย้งว่าการที่ศาลอุทธรณ์ไม่ได้วินิจฉัยนั้น ไม่ชอบแต่อย่างไร แต่จำเลยกลับยกข้อเท็จจริงทำนองเดียวกับที่เคยยกขึ้นกล่าวในศาลอุทธรณ์ขึ้นฎีกาซ้ำอีก จึงเป็นข้อเท็จจริงที่เพิ่งยกขึ้นในชั้นฎีกาและถือไม่ได้ว่าเป็นการคัดค้านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 216 ทั้งมิได้เป็นข้อความที่ศาลอุทธรณ์ได้ตัดสินไว้จึงไม่อาจใช้ดุลพินิจอนุญาตให้ฎีกาตาม ป.วิ.อ. มาตรา 221 ได้ ที่ผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์อนุญาตให้ฎีกาจึงเป็นการไม่ชอบ
จำเลยขับรถชนผู้ตายแล้วหลบหนีไม่ให้ความช่วยเหลือตามสมควร การหลบหนีของจำเลยไม่เป็นเหตุให้ผู้ตายถึงแก่ความตาย เนื่องจากผู้ตายถึงแก่ความตายเพราะถูกรถชนไปก่อนแล้ว จำเลยจึงไม่มีความผิดตาม พ.ร.บ จราจรทางบก พ.ศ.2522 มาตรา 160 วรรคสอง แต่มีความผิดตามมาตรา 160 วรรคหนึ่ง
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 13 กรกฎาคม 2546 เวลากลางคืนหลังเที่ยง จำเลยขับรถยนต์โดยสารประจำทางสาย 40 หมายเลข 40 – 17 หมายเลขทะเบียน 12 – 0181 กรุงเทพมหานคร รับผู้โดยสารจากแยกปทุมวันไปตามถนนพระรามที่ 1 ในช่องเดินรถช่องที่ 1 ด้านซ้ายมุ่งหน้าไปทางแยกราชประสงค์เพื่อตรงไปทางแยกเพลินจิต ด้วยความประมาทปราศจากความระมัดระวังซึ่งบุคคลในภาวะเช่นจำเลยจักต้องมีตามวิสัยและพฤติการณ์ โดยขับรถด้วยความเร็วสูงมากไปจนเกือบถึงทางแยกราชประสงค์ที่เกิดเหตุ ซึ่งในขณะนั้นฝนกำลังตกหนัก และจำเลยเห็นอยู่ก่อนแล้วว่านายบังไม่ทราบชื่อและนามสกุลจริง ผู้ตาย กำลังเดินข้ามถนนพระรามที่ 1 ตรงทางข้ามจากด้านโรงพยาบาลตำรวจ ซึ่งอยู่ด้านขวาของจำเลยไปยังห้างสรรพสินค้าเวิลด์เทรดเซ็นเตอร์ซึ่งอยู่ด้านซ้ายของจำเลย จนเข้ามาอยู่ในช่องเดินรถที่จำเลยขับอยู่ จำเลยอาจใช้ความระมัดระวังเช่นว่านั้นได้ โดยลดความเร็วของรถลงและหยุดรถก่อนจะถึงทางข้ามเพื่อให้ผู้ตายเดินข้ามถนนผ่านพ้นไปก่อนแล้วจึงขับรถแล่นผ่านไป แต่จำเลยหาได้ใช้ให้เพียงพอไม่ ยังคงขับรถด้วยความเร็วสูงมากและไม่หยุดรถ รถที่จำเลยขับจึงพุ่งเข้าชนผู้ตายและทับร่างผู้ตายเป็นเหตุให้ผู้ตายถึงแก่ความตาย หลังจากนั้นจำเลยหลบหนีไปโดยไม่หยุดรถให้ความช่วยเหลือตามสมควร ทั้งไม่ไปแสดงตัวและแจ้งเหตุต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ที่ใกล้เคียงทันทีเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตายขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91, 291 พระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ.2522 มาตรา 43 (4),78, 157, 160
จำเลยให้การรับสารภาพ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 291 พระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ.2522 มาตรา 43 (4), 78 วรรคหนึ่ง, 157, 160 วรรคสอง การกระทำของจำเลยเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไปตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ฐานขับรถโดยประมาทกับฐานกระทำโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย เป็นกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบทให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 291 ซึ่งเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 จำคุก 4 ปี ฐานหลบหนีไม่แจ้งเหตุเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย จำคุก 2 เดือน รวมจำคุก 4 ปี 2 เดือน จำเลยให้การรับสารภาพ เป็นประโยชน์แก่การพิจารณษ มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 2 ปี 1 เดือน
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำคุกจำเลยในความผิดฐานขับรถโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย มีกำหนด 3 ปี ลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 1 ปี 6 เดือน เมื่อรวมกับโทษจำคุกฐานหลบหนีไม่แจ้งเหตุแล้ว คงจำคุกมีกำหนด 1 ปี 7 เดือน นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยฎีกาโดยผู้พิพากษาซึ่งลงชื่อในคำพิพากษาศาลอุทธรณ์อนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ที่จำเลยฎีกาว่าหลังเกิดเหตุจำเลยมิได้หลบหนีโดยอยู่ในที่เกิดเหตุตลอด เป็นทำนองว่าจำเลยไม่ได้กระทำความผิดฐานหลบหนีไม่แจ้งเหตุนั้น เห็นว่า ในชั้นอุทธรณ์จำเลยได้ยกข้อเท็จจริงดังกล่าวขึ้นอุทธรณ์ แต่ศาลอุทธรณ์มิได้หยิบยกขึ้นวินิจฉัย จำเลยก็ไม่ได้ฎีกาโต้แย้งว่าการที่ศาลอุทธรณ์ไม่ได้วินิจฉัยนั้นไม่ชอบแต่อย่างไร แต่จำเลยกลับยกข้อเท็จจริงทำนองเดียวกับที่เคยยกขึ้นกล่าวในศาลอุทธรณ์ขึ้นฎีกาซ้ำอีก ถือได้ว่าข้อเท็จจริงที่จำเลยยกขึ้นฎีกาดังกล่าวเป็นข้อเท็จจริงที่เพิ่งยกขึ้นในชั้นฎีกาและถือไม่ได้ว่าฎีกาดังกล่าวเป็นการคัดค้านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 216 ทั้งมิได้เป็นข้อความที่ศาลอุทธรณ์ได้ตัดสินไว้ จึงไม่อาจใช้ดุลพินิจอนุญาตให้ฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 221 ได้ ที่ผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์อนุญาตให้ฎีกาในปัญหาดังกล่าวมาเป็นการไม่ชอบ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยฎีกาข้อนี้ของจำเลย…….
อนึ่ง คดีนี้โจทก์ฟ้องว่าจำเลยขับรถด้วยความเร็วสูง เมื่อผู้ตายเดินข้ามถนนจำเลยก็ไม่ลดความเร็วและไม่หยุดรถด้วยความประมาท จึงพุ่งชนผู้ตายและทับร่างผู้ตายเป็นเหตุให้ผู้ตายถึงแก่ความตาย ภายหลังจากจำเลยได้กระทำความผิดดังกล่าว จำเลยได้หลบหนีไปโดยไม่หยุดรถให้ความช่วยเหลือตามสมควร อีกทั้งไม่แสดงตัวและแจ้งเหตุต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ เมื่อจำเลยรับสารภาพข้อเท็จจริงจึงรับฟังได้ว่าจำเลยขับรถชนผู้ตายถึงแก่ความตาย หลังจากนั้นจำเลยหลบหนีไม่ให้ความช่วยเหลือตามสมควร การหลบหนีของจำเลยไม่เป็นเหตุให้ผู้ตายถึงแก่ความตาย เนื่องจากผู้ตายถึงแก่ความตายเพราะถูกรถชนไปก่อนแล้ว การกระทำของจำเลยจึงไม่เป็นความผิดตามพระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ.2522 มาตรา 160 วรรคสอง แต่เป็นเพียงความผิดตามมาตรา 160 วรรคหนึ่ง การที่ศาลชั้นพิพากษาลงโทษจำเลยในความผิดตามมาตรา 160 วรรคสอง และศาลอุทธรณ์พิพากษายืนในความผิดฐานนี้มาจึงไม่ชอบและปัญหาข้อนี้แม้คู่ความจะมิได้อุทธรณ์ฎีกาแต่เป็นปัญหาข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย ศาลฎีกามีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยเองได้”
พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ.2522 มาตรา 160 วรรคหนึ่ง ฐานหลบหนีไม่แจ้งเหตุ จำคุก 1 เดือน ลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 15 วัน เมื่อรวมกับโทษจำคุกฐานขับรถโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตายแล้ว คงจำคุก 1 ปี 6 เดือน 15 วัน นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์