แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
โจทก์เป็นกรรมการและผู้ถือหุ้นในบริษัทจำเลย มีหน้าที่ดูแลด้านการตลาด โจทก์ต้องมาทำงานทุกวัน บางวันหรือส่วนใหญ่จะอยู่ที่ไซด์งาน การดำเนินงานหรือการแก้ปัญหาตามปกติ โจทก์ทำได้เองโดยอิสระ เว้นแต่เรื่องใหญ่ๆ หรือมีจำนวนเงินสูงๆ หรืออาจก่อให้เกิดความเสียหายได้ โจทก์ต้องได้รับอนุมัติจากที่ประชุมของกรรมการหรือปรึกษา ส. กรรมการบริษัทจำเลยก่อน โจทก์ไม่ต้องอยู่ภายใต้ระเบียบหรือข้อบังคับในการทำงานของบริษัทจำเลย โจทก์จึงทำงานในฐานะกรรมการและผู้ถือหุ้นที่ต้องดูแลรักษาผลประโยชน์ของบริษัทจำเลยที่โจทก์เป็นผู้ร่วมก่อตั้งมา แม้โจทก์จะได้รับเงินเดือนจากจำเลย ก็ไม่มีลักษณะเป็นสัญญาจ้างแรงงานตาม ป.พ.พ. มาตรา 575 โจทก์จึงไม่อยู่ในฐานะเป็นลูกจ้างของบริษัทจำเลย เมื่อที่ประชุมผู้ถือหุ้นมีมติให้โจทก์ออกจากการเป็นกรรมการบริษัทจำเลย โจทก์จึงไม่มีสิทธิฟ้องเรียกเงินใดๆ ตามสัญญาจ้างแรงงานจากจำเลย
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 1 พฤษภาคม 2539 โจทก์ทำงานให้แก่จำเลยโดยเป็นกรรมการและเป็นผู้ถือหุ้น มีหน้าที่รับผิดชอบควบคุมดูแลการปฏิบัติงานของจำเลยในส่วนงานก่อสร้างและติดต่อพบปะลูกค้า ได้รับค่าจ้างเดือนละ 71,400 บาท ค่าพาหนะในอัตราสุดท้ายเดือนละ 7,000 บาท ค่ารับรองลูกค้าอัตราสุดท้ายเดือนละ 20,000 บาท รวมเป็นค่าจ้างอัตราสุดท้าย 98,400 บาท กำหนดจ่ายค่าจ้างทุกวันที่ 25 ต่อมาเมื่อวันที่ 26 ธันวาคม 2544 จำเลยเลิกจ้างโดยโจทก์ไม่มีความผิดและไม่ได้บอกกล่าวล่วงหน้าโจทก์ทำงานมา 5 ปี 7 เดือน มีสิทธิได้รับค่าชดเชยไม่น้อยกว่าค่าจ้างอัตราสุดท้าย 180 วัน เป็นเงิน 590,400 บาท สินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า 30 วันเป็นเงิน 98,400 บาท จำเลยต้องชำระค่าจ้างติดค้างโจทก์ 1 เดือนเป็นเงิน 98,400 บาท ขอให้บังคับจำเลยชำระเงิน 787,200 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี นับแต่วันถัดจากวันฟ้องจนกว่าชำระให้แก่โจทก์เสร็จสิ้น
จำเลยให้การว่า โจทก์เป็นผู้เริ่มก่อการและก่อตั้งบริษัทจำเลยมาตั้งแต่แรกและเป็นผู้ถือหุ้นร้อยละ 23.88 การทำงานในตำแหน่งกรรมการของโจทก์ตั้งแต่เริ่มแรกนั้นจำเลยไม่ได้ว่าจ้างโจทก์ให้มาเป็นลูกจ้าง การเป็นกรรมการของโจทก์ไม่ต้องอยู่ภายใต้ระเบียบบังคับการทำงานของจำเลย ลักษณะงานของโจทก์ไม่เหมือนลูกจ้างทั่วไป โจทก์ไม่มีแฟ้มประวัติ ไม่มีการสมัครงาน ไม่ต้องมาทำงานในเวลาทำการทุกวัน การลาไม่ต้องปฏิบัติตามข้อบังคับของบริษัท การบังคับบัญชาก็ไม่มีผู้บังคับบัญชาโจทก์ ความสัมพันธ์ระหว่างโจทก์และจำเลยหามีลักษณะเป็นนายจ้างกับลูกจ้างไม่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งโจทก์ปฏิบัติงานโดยอิสระไม่ต้องมาทำงานทุกวัน ไม่อยู่ภายใต้การบังคับบัญชาของจำเลยอันเป็นลักษณะของสัญญาจ้างแรงงานโจทก์จึงไม่ใช่ลูกจ้างของจำเลย เมื่อวันที่ 4 ธันวาคม 2544 มีการเรียกประชุมใหญ่วิสามัญผู้ถือหุ้นและที่ประชุมมีมติเป็นเอกฉันท์ให้โจทก์ออกจากการเป็นกรรมการและกรรมการผู้มีอำนาจของจำเลยซึ่งไม่ถือเป็นการเลิกจ้างโจทก์ โจทก์ไม่ได้รับอัตราค่าจ้างสุดท้ายเดือนละ 71,400 บาท ความจริงโจทก์ได้รับเงินเป็นค่าตอบแทนในการเป็นกรรมการเดือนละ 35,700 บาท ซึ่งไม่เป็นค่าจ้าง ค่าตอบแทนดังกล่าวเช่นเดียวกับกรรมการคนอื่นที่ได้รับจากบริษัทจำเลย ส่วนค่าพาหนะเดือนละ 7,000 บาทนั้น โจทก์มีสิทธิเบิกค่าน้ำมันในแต่ละเดือนตามความเป็นจริงแต่ไม่เกินเดือนละ 7,000 บาท โดยจะต้องมีใบเสร็จมาแสดงทุกครั้ง ถ้ามีการเบิกเกินกว่าที่ตกลงจำเลยไม่ต้องจ่ายให้ซึ่งเป็นค่าใช้จ่ายที่ไม่แน่นอนจึงไม่ถือเป็นค่าจ้าง ค่ารับรองในแต่ละเดือนเดือนละ 20,000 บาทนั้น จำเลยจ่ายตามความเป็นจริงแต่ไม่เกินเดือนละ 20,000 บาท โดยจะต้องมีใบเสร็จมาแสดงทุกครั้ง ถ้ามีการเบิกค่ารับรองเกินกว่าที่ตกลงจำเลยไม่ต้องจ่ายให้ ซึ่งเป็นค่าใช้จ่ายที่ไม่แน่นอนจึงไม่ถือเป็นค่าจ้าง ขอให้ยกฟ้อง
ศาลแรงงานกลางพิพากษาให้จำเลยชำระเงินแก่โจทก์ 285,600 บาทพร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปีในต้นเงิน 214,200 บาทนับแต่วันถัดจากวันเลิกจ้าง (วันที่ 26 ธันวาคม 2544) เป็นต้นไปดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปีในต้นเงิน 35,700 บาทนับแต่วันถัดจากวันฟ้อง (ฟ้องวันที่ 29 มกราคม 2545) เป็นต้นไป และดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปีในต้นเงิน 35,700 บาทนับแต่วันถัดจากวันถึงกำหนดจ่ายค่าจ้าง (วันที่ 25 ธันวาคม 2544) เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเงินแก่โจทก์เสร็จสิ้น
จำเลยอุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงรับฟังตามที่ศาลแรงงานกลางวินิจฉัยมาว่า โจทก์เป็นกรรมการและผู้ถือหุ้นในบริษัทจำเลย มีหน้าที่ดูแลด้านการตลาด โจทก์ต้องมาทำงานทุกวันบางวันหรือส่วนใหญ่จะอยู่ในไซด์งาน (สถานที่ก่อสร้าง) การดำเนินงานหรือการแก้ปัญหาตามปกติของโจทก์ โจทก์ทำได้เองโดยอิสระเว้นแต่เรื่องใหญ่ๆ หรือมีจำนวนเงินสูงๆ หรืออาจก่อให้เกิดความเสียหายได้ โจทก์ต้องได้รับอนุมัติจากที่ประชุมของกรรมการหรือปรึกษานายสาธิต วังจริยา กรรมการบริษัทจำเลยอีกคนหนึ่งก่อน คดีมีปัญหาที่จะต้องวินิจฉัยว่าโจทก์เป็นลูกจ้างจำเลยหรือไม่ เห็นว่า ในการทำงานของโจทก์นั้นไม่ปรากฏว่าโจทก์ต้องอยู่ภายใต้ระเบียบหรือข้อบังคับในการทำงานของบริษัทจำเลย แม้โจทก์จะได้รับมอบหมายให้ดูแลงานของบริษัทจำเลยโดยต้องมาทำงานทุกวัน ก็ไม่มีผู้ใดบังคับบัญชาโจทก์ นอกจากนี้ยังปรากฏข้อเท็จจริงว่าโจทก์เป็นผู้ริเริ่มก่อตั้งบริษัทจำเลยและทำงานกับจำเลยโดยเป็นกรรมการมาแต่แรก การทำงานของโจทก์ให้แก่บริษัทจำเลยจึงเป็นการทำในฐานะกรรมการและผู้ถือหุ้นที่ต้องดูแลรักษาผลประโยชน์ของบริษัทจำเลยที่โจทก์เป็นผู้ร่วมก่อตั้งมา แม้โจทก์จะได้รับเงินเดือนจากจำเลย แต่การทำงานของโจทก์ในบริษัทจำเลยไม่มีลักษณะเป็นสัญญาจ้างแรงงานตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 575 โจทก์จึงไม่อยู่ในฐานะเป็นลูกจ้างของบริษัทจำเลย เมื่อที่ประชุมผู้ถือหุ้นมีมติให้โจทก์ออกจากการเป็นกรรมการบริษัทจำเลย โจทก์จึงไม่มีสิทธิฟ้องเรียกเงินจากจำเลยเป็นคดีนี้ คดีไม่จำต้องวินิจฉัยอุทธรณ์ข้ออื่นของจำเลยต่อไป ที่ศาลแรงงานกลางพิพากษาให้จำเลยชำระเงินแก่โจทก์นั้นไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกาแผนกคดีแรงงาน อุทธรณ์ของจำเลยฟังขึ้น”
พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์