แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
จำเลยที่ 1 ให้ผู้คัดค้านกู้ยืมเงินและยอมรับโอนสิทธิเรียกร้องตามตั๋วสัญญาใช้เงินของบริษัทภาวินเครดิตจำกัด เป็นการชำระหนี้แทนตั๋วสัญญาใช้เงินของผู้คัดค้าน โดยผู้คัดค้านไม่ได้จ่ายค่าตอบแทนอย่างใดให้แก่จำเลยที่ 1 จึงถือเป็นนิติกรรมที่จำเลยที่ 1 ทำให้โดยเสน่หา เมื่อจำเลยที่ 1 ทราบดีอยู่แล้วว่าบริษัทภาวินเครดิต จำกัด มีหนี้สินมากกว่าทรัพย์สินและไม่สามารถชำระหนี้ตามตั๋วสัญญาใช้เงินของตนได้ การที่จำเลยที่ 1ทำข้อตกลงยอมรับชำระหนี้จากตั๋วสัญญาใช้เงินที่ไม่สามารถเรียกให้ชำระหนี้ได้ ย่อมทำให้เจ้าหนี้อื่นเสียเปรียบ ผู้ร้องจึงมีสิทธิขอให้เพิกถอนข้อตกลงดังกล่าวได้ ผู้ร้องจะสามารถทราบว่าที่มาหรือมูลเหตุแห่งการสละสิทธิเรียกร้องเป็นการฉ้อฉลหรือไม่ต่อเมื่อได้สอบสวนพยานที่เกี่ยวข้องจนเป็นที่ประจักษ์แล้ว การจะถือว่าผู้ร้องได้ทราบถึงต้นเหตุอันเป็นมูลแห่งการเพิกถอนจึงต้องถือวันเวลาการสอบสวนในปัญหานี้เป็นหลัก
ย่อยาว
ผู้ร้องยื่นคำร้องว่า คดีนี้ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้พิทักษ์ทรัพย์จำเลยทั้งสองเด็ดขาดเมื่อวันที่ 30 ธันวาคม 2528 ตามทางสอบสวนของผู้ร้องปรากฏว่าเมื่อวันที่ 11 กรกฎาคม 2526จำเลยที่ 1 ได้ให้ผู้คัดค้านกู้ยืมเงินไปจำนวน 3,000,000 บาท โดยผู้คัดค้านได้ออกตั๋วสัญญาใช้เงินจำนวน 3,000,000 บาท ให้แก่จำเลยที่ 1 และในวันเดียวกันนั้นผู้คัดค้านได้นำตั๋วสัญญาใช้เงินของบริษัทภาวินเครดิต จำกัด จำนวน 3,000,000 บาท มาสลักหลังจำนำแก่จำเลยที่ 1 เป็นประกันการชำระหนี้ของผู้คัดค้าน โดยจำเลยที่ 1 ได้ทำบันทึกข้อตกลงว่าจำเลยที่ 1 ยอมรับตั๋วสัญญาใช้เงินดังกล่าวของบริษัทภาวินเครดิต จำกัด เป็นการชำระหนี้และจำเลยที่ 1 สละสิทธิไม่เรียกร้องหนี้ตามตั๋วสัญญาใช้เงินของผู้คัดค้านอีกต่อไป โดยจำเลยที่ 1 รู้อยู่แล้วว่าบริษัทภาวินเครดิต จำกัด อยู่ในฐานะที่ไม่สามารถชำระหนี้ได้และผู้คัดค้านได้รับประโยชน์จากการตกลงระงับหนี้รายนี้โดยมิได้เสียค่าตอบแทนใด ๆ จึงเป็นนิติกรรมที่จำเลยที่ 1 ได้กระทำลงทั้งที่รู้อยู่แล้วว่าตนจะไม่ได้รับชำระหนี้ เป็นทางให้เจ้าหนี้อื่น ๆ ของจำเลยที่ 1 เสียเปรียบอันเป็นการฉ้อฉล ขอให้เพิกถอนข้อตกลงของจำเลยที่ 1 ที่สละสิทธิเรียกร้องให้ผู้คัดค้านชำระหนี้และให้กลับคืนสู่ฐานะเดิม
ผู้คัดค้านยื่นคำคัดค้านว่า จำเลยที่ 1 มีเจตนาจะให้บริษัทภาวินเครดิต จำกัด กู้ยืมเงิน แต่ไม่ประสงค์จะออกชื่อบริษัทภาวินเครดิต จำกัด เป็นลูกหนี้ จึงได้ขอร้องให้ผู้คัดค้านออกตั๋วสัญญาใช้เงินดังกล่าวแทน และผู้คัดค้านได้มอบเงินจำนวน3,000,000 บาท ให้แก่บริษัทภาวินเครดิต จำกัด แล้ว จำเลยที่ 1 จึงให้บริษัทภาวินเครดิต จำกัด ออกตั๋วสัญญาใช้เงินจำนวน3,000,000 บาท มอบแก่ผู้คัดค้านแล้วให้ผู้คัดค้านสลักหลังโอนตั๋วสัญญาใช้เงินนั้นแก่จำเลยที่ 1 เป็นการชำระหนี้แทนตั๋วสัญญาใช้เงินที่ผู้คัดค้านออกให้ โดยจำเลยที่ 1 ได้ทำหนังสือสละสิทธิเรียกร้องเอาจากผู้คัดค้านอีกต่อไป จึงเป็นนิติกรรมอำพรางส่วนนิติกรรมแท้จริงที่ผูกพันคู่กรณีคือจำเลยที่ 1 จะต้องใช้สิทธิเรียกร้องเอาจากบริษัทภาวินเครดิต จำกัด ตามเจตนาที่แท้จริงการที่จำเลยที่ 1 ตกลงรับเอาตั๋วสัญญาใช้เงินของบริษัทภาวินเครดิตจำกัด ไว้และทำหนังสือสละสิทธิเรียกร้องเอาจากผู้คัดค้านนั้นมิใช่เป็นการปลดหนี้หรือสละสิทธิให้เปล่าโดยไม่มีค่าตอบแทนเพราะตั๋วสัญญาใช้เงินที่บริษัทภาวินเครดิต จำกัด ออกให้นั้นมีมูลหนี้กันจริง ผู้คัดค้านได้กระทำไปโดยสุจริตมีค่าตอบแทนทั้งขณะที่ทำนั้นไม่ทราบว่าจะทำให้เจ้าหนี้ของจำเลยที่ 1 ต้องเสียเปรียบแต่อย่างใด หนี้ตามตั๋วสัญญาใช้เงินที่ผู้คัดค้านออกให้แก่จำเลยที่ 1 ได้ระงับสิ้นไปแล้ว ไม่มีเหตุที่ผู้ร้องจะขอให้เพิกถอนผู้ร้องยอมรับเข้าถือเอาตั๋วสัญญาใช้เงินของบริษัทภาวินเครดิตจำกัด และได้มีหนังสือเรียกร้องทวงถามให้บริษัทภาวินเครดิต จำกัดชำระเงินตามตั๋วนั้นจนบริษัทภาวินเครดิต จำกัด ตกเป็นลูกหนี้กองทรัพย์สินของจำเลยที่ 1 ตามจำนวนที่แจ้งไป 3,000,000 บาท เป็นการเด็ดขาดตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 119 และผู้ร้องได้ขอให้ศาลออกคำบังคับแก่บริษัทภาวินเครดิต จำกัด แล้วผู้ร้องจึงไม่มีสิทธิร้องขอให้เพิกถอนเพื่อให้กลับคืนสู่ฐานะเดิมผู้คัดค้านได้มีหนังสือปฏิเสธหนี้ไปยังผู้ร้องและผู้ร้องได้ทราบถึงเหตุดังกล่าวอันเป็นมูลให้เพิกถอนตั้งแต่วันที่ 11 กันยายน 2528ผู้ร้องมาร้องขอให้ศาลเพิกถอนเมื่อวันที่ 3 พฤศจิกายน 2529 คดีจึงขาดอายุความ ขอให้ยกคำร้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วมีคำสั่งให้เพิกถอนข้อตกลงของจำเลยที่ 1 ที่สละสิทธิเรียกร้องที่มีต่อผู้คัดค้านเสียและให้กลับคืนสู่ฐานะเดิม กับให้ผู้คัดค้านใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนผู้ร้อง ส่วนค่าทนายความผู้ร้องว่าความเอง จึงไม่กำหนดค่าทนายความให้
ผู้คัดค้านอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน ผู้ร้องแก้อุทธรณ์เอง จึงไม่กำหนดค่าทนายความชั้นอุทธรณ์ให้
ผู้คัดค้านฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ที่ผู้คัดค้านฎีกาว่า ผู้คัดค้านมิได้เป็นหนี้จำเลยที่ 1 การกู้ยืมและออกตั๋วสัญญาใช้เงินระหว่างผู้คัดค้านกับจำเลยที่ 1 และบริษัทภาวินเครดิต จำกัด กับผู้คัดค้านมิได้มีเจตนาจะผูกพันกันจริง ความจริงเป็นเรื่องที่จำเลยที่ 1มีเจตนาจะให้บริษัทภาวินเครดิต จำกัด กู้ยืม ข้อเท็จจริงที่ผู้คัดค้านนำสืบยอมรับว่า เหตุที่ออกตั๋วสัญญาใช้เงินนั้น สืบเนื่องจากการให้กู้ยืมระหว่างจำเลยที่ 1 ผู้คัดค้านและบริษัทภาวินเครดิตจำกัด โดยผู้คัดค้านรับเช็คจำนวน 3,000,000 บาท มาจากจำเลยที่ 1 แล้วนำเข้าบัญชีของผู้คัดค้าน และผู้คัดค้านออกเช็คสั่งจ่ายเงินจำนวนดังกล่าวจากบัญชีของผู้คัดค้านให้แก่บริษัทภาวินเครดิต จำกัด โดยผู้คัดค้านและบริษัทภาวินเครดิต จำกัดออกตั๋วสัญญาใช้เงินตามจำนวนเงินดังกล่าวเป็นการชำระหนี้ การกู้ยืมและการออกตั๋วสัญญาใช้เงินดังกล่าวจึงมีมูลหนี้กันจริงผู้คัดค้านจะอ้างว่ามิได้มีเจตนาที่จะผูกพันตามนิติกรรมดังกล่าวนั้นจริงหาได้ไม่ นอกจากนี้ผู้คัดค้านยังนำสืบรับด้วยว่ามีการสละสิทธิเรียกร้องในตั๋วสัญญาใช้เงินของผู้คัดค้านดังกล่าวแล้ว ย่อมเป็นการยืนยันว่า ตั๋วสัญญาใช้เงินดังกล่าวยังมิได้มีการชำระเงินกันหนี้จึงยังไม่ระงับเพราะเหตุดังกล่าวดังที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัย ส่วนข้อที่ผู้คัดค้านอ้างว่าข้อตกลงระหว่างจำเลยที่ 1 กับผู้คัดค้าน ที่จำเลยที่ 1 ยอมรับโอนสิทธิเรียกร้องตามตั๋วสัญญาใช้เงินของบริษัทภาวินเครดิต จำกัด แทนการชำระหนี้ตามตั๋วสัญญาใช้เงินของผู้คัดค้าน และยอมสละสิทธิเรียกร้องตามตั๋วสัญญาใช้เงินของผู้คัดค้าน เป็นการกระทำโดยมีค่าตอบแทนและโดยสุจริต ไม่ทราบว่าเป็นทางทำให้เจ้าหนี้อื่นเสียเปรียบนั้น เห็นว่า ข้อตกลงระหว่างจำเลยที่ 1 กับผู้คัดค้านเป็นเรื่องที่จำเลยที่ 1 ยอมรับโอนสิทธิเรียกร้องตามตั๋วสัญญาใช้เงินของบริษัทภาวินเครดิต จำกัดแทนตั๋วสัญญาใช้เงินของผู้คัดค้าน โดยผู้คัดค้านไม่ได้จ่ายค่าตอบแทนอย่างใดให้แก่จำเลยที่ 1 จึงถือเป็นนิติกรรมที่จำเลยที่ 1ทำให้โดยเสน่หา เมื่อข้อเท็จจริงได้ความว่าจำเลยที่ 1 เคยรับโอนสิทธิเรียกร้องตามตั๋วสัญญาใช้เงินของบริษัทภาวินเครดิต จำกัดจากบริษัทอื่นอีก 8 บริษัท ทำนองเดียวกับที่รับโอนจากผู้คัดค้านเป็นเงินรวม 64,000,000 บาท ทั้งที่บริษัทภาวิณเครดิต จำกัดมีทุนจดทะเบียนเพียง 10,000,000 บาท เท่านั้น และเมื่อผู้ร้องทวงถามบริษัทภาวินเครดิต จำกัดให้ชำระเงินจำนวน64,000,000 บาท ดังกล่าว บริษัทภาวินเครดิต จำกัด ก็ไม่ชำระหนี้จนต้องมีการบังคับคดีกัน แสดงว่าจำเลยที่ 1 ทราบดีอยู่แล้วว่าบริษัทภาวินเครดิต จำกัด มีหนี้สินมากกว่าทรัพย์สินและไม่สามารถชำระหนี้ตามตั๋วสัญญาใช้เงินของตนได้ การที่จำเลยที่ 1ทำข้อตกลงยอมรับชำระหนี้จากตั๋วสัญญาใช้เงินที่ไม่สามารถเรียกให้ชำระหนี้ได้ ย่อมทำให้เจ้าหนี้อื่นเสียเปรียบ ผู้ร้องจึงมีสิทธิขอให้เพิกถอนข้อตกลงดังกล่าวได้
ส่วนปัญหาอายุความที่ผู้คัดค้านฎีกาเป็นประเด็นสุดท้ายนั้นการอ้างส่งหนังสือสละสิทธิเรียกร้องต่อผู้ร้องในการปฏิเสธหนี้ตามตั๋วสัญญาใช้เงินที่ปรากฏว่าผู้คัดค้านออกให้แก่จำเลยที่ 1เป็นการยืนยันต่อผู้ร้องว่ามีการสละสิทธิเรียกร้องแล้วตามที่ปรากฏในหนังสือ ส่วนที่มาหรือมูลเหตุแห่งการสละสิทธิเรียกร้องผู้ร้องสามารถจะทราบว่าเป็นการฉ้อฉลหรือไม่ต่อเมื่อได้สอบสวนพยานที่เกี่ยวข้องจนเป็นที่ประจักษ์แล้ว ดังนี้การจะถือว่าผู้ร้องได้ทราบถึงต้นเหตุอันเป็นมูลแห่งการเพิกถอนจึงต้องถือวันเวลาการสอบสวนในปัญหานี้เป็นหลัก ซึ่งข้อเท็จจริงแห่งคดีที่ปรากฏยังไม่พ้นกำหนดอายุความตามที่ศาลอุทธรณ์ได้วินิจฉัยไว้ถูกต้องแล้ว
พิพากษายืน