คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6855/2541

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

บทบัญญัติมาตรา 31 แห่ง ประมวลกฎหมายที่ดิน บัญญัติขึ้นโดยมุ่งหมายที่จะให้ผู้ได้รับสิทธิในที่ดินได้มีที่ดินไว้ทำกินตลอดไปถึงลูกหลานหรือทายาทผู้มีสิทธิได้รับมรดกตามกฎหมายและเพื่อป้องกันมิให้ผู้ได้มาโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินไปให้บุคคลอื่นได้โดยง่าย ได้ความว่า ห. ตกลงแบ่งขายที่ดินโฉนดเลขที่ 42263 และ 42264ให้แก่จำเลย เพื่อสร้างโรงเรียน แต่ ห. ไม่สามารถจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินดังกล่าวให้แก่จำเลยตามสัญญา เพราะที่ดินโฉนดเลขที่ 42263 มีข้อกำหนดห้ามโอนภายใน 10 ปี ตาม ประมวลกฎหมายที่ดิน มาตรา 31 ทำให้จำเลยไม่อาจขอรับใบอนุญาตให้จัดตั้งโรงเรียนได้ ห. จึงทำพินัยกรรมยกที่ดินโฉนดเลขที่ 42263 และ 42264ให้แก่จำเลยตามเนื้อที่ดินที่จะแบ่งขายให้แก่จำเลยโดยได้รับเงินค่าที่ดินจากจำเลยแล้ว ต่อมาจำเลยกับ ห. ไปทำสัญญาเช่าที่ดินดังกล่าวกันมีกำหนด 10 ปี โดยทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่จนจำเลยได้รับอนุญาตให้ตั้งโรงเรียนในที่ดินดังกล่าวได้ พฤติการณ์ดังกล่าวแสดงให้เห็นได้ว่า ห. และจำเลยจงใจหลีกเลี่ยงข้อกำหนดห้ามโอนตาม ประมวลกฎหมายที่ดิน มาตรา 31 วรรคหนึ่ง เมื่อจำเลยร่วมรู้เห็นให้ ห.ทำพินัยกรรมเพื่อหวังผลได้กรรมสิทธิ์ที่ดินดังกล่าวมาเป็นหลักฐานประกอบการขอรับใบอนุญาตจัดตั้งโรงเรียน อันแสดงถึงความไม่สุจริตของจำเลย จึงถือได้ว่าการยกที่ดินโฉนดเลขที่ 42263 ให้แก่จำเลยตามพินัยกรรมมีวัตถุประสงค์เป็นการฝ่าฝืนบทกฎหมายดังกล่าวย่อมตกเป็นโมฆะตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 150
โจทก์ฟ้องเรียกเอาทรัพย์มรดกที่ดินโฉนดเลขที่ 42263 และ 42264 คืนจากจำเลย เมื่อข้อกำหนดพินัยกรรมในส่วนของที่ดินโฉนดเลขที่ 42263 ไม่เป็นผลเพราะตกเป็นโมฆะ จำเลยย่อมมิใช่ทายาทโดยธรรมและผู้รับพินัยกรรมของ ห. ผู้ตาย จึงอ้างอายุความมรดกตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1754 และ 1755 มาเป็นข้อต่อสู้โจทก์ซึ่งเป็นทายาทโดยธรรมไม่ได้ ทั้งโจทก์มิได้ฟ้องขอให้เพิกถอนข้อกำหนดพินัยกรรมซึ่งผู้ทำพินัยกรรมได้กระทำโดยสำคัญผิด ถูกกลฉ้อฉล หรือถูกข่มขู่ดังที่บัญญัติไว้ในมาตรา 1708 และ 1709 จึงไม่อยู่ในบังคับของอายุความตามมาตรา 1710
จำเลยมีสิทธิขอรับโอนที่ดินโฉนดเลขที่ 42264 ในฐานะผู้รับพินัยกรรมโจทก์ซึ่งมิได้รับประโยชน์จากพินัยกรรมจึงเป็นผู้ถูกตัดมิให้รับมรดกที่ดินดังกล่าวตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1608 วรรคท้าย

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นทายาทและเป็นผู้จัดการมรดกของนายหอม กองโพธิ์จำเลยกับพวกได้ทำปลอมพินัยกรรมของนายหอมขึ้นทั้งฉบับ มีข้อความว่า นายหอมยกที่ดินโฉนดเลขที่ 42263 พร้อมสิ่งปลูกสร้าง ให้จำเลย 20 ไร่ ให้นางถนอม กองโพธิ์19 ไร่ 2 งาน 52 ตารางวา และยกที่ดินโฉนดเลขที่ 42264 ให้จำเลย 4 ไร่ ให้นางถนอม 3 ไร่ 52 ตารางวา ซึ่งความจริงนายหอมไม่เคยทำพินัยกรรมยกที่ดินให้แก่ผู้ใด พินัยกรรมดังกล่าวจึงเป็นเอกสารปลอม จำเลยไม่อาจใช้พินัยกรรมแสวงหาประโยชน์ได้ ต่อมาจำเลยนำพินัยกรรมปลอมไปอ้างต่อเจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดนครราชสีมา และเจ้าพนักงานที่ดินได้จดทะเบียนใส่ชื่อจำเลยและนางถนอมเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ร่วมกันในที่ดินทั้งสองแปลง ขอให้พิพากษาว่าพินัยกรรมของนายหอม กองโพธิ์ เป็นโมฆะให้เพิกถอนชื่อจำเลยจากการเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ 42263 และโฉนดเลขที่ 42264

จำเลยให้การว่า นายหอมทำพินัยกรรมตามฟ้องยกที่ดินทั้งสองแปลงให้แก่จำเลยโดยชอบด้วยกฎหมาย และโจทก์ฟ้องคดีเมื่อพ้นกำหนด 3 เดือน และพ้นกำหนด1 ปี นับแต่วันรู้หรือควรรู้ว่านายหอมเจ้ามรดกถึงแก่ความตาย ฟ้องโจทก์จึงขาดอายุความ ขอให้ยกฟ้อง

ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า พินัยกรรมของนายหอม กองโพธิ์ ฉบับลงวันที่ 9 มีนาคม 2526 ที่ยกที่ดินโฉนดเลขที่ 42263 ตำบลกองโพธิ์ อำเภอเมือง นครราชสีมา จังหวัดนครราชสีมา บางส่วนจำนวนเนื้อที่ 20 ไร่ ให้จำเลยเป็นโมฆะ ให้เพิกถอนการโอนมรดกตามพินัยกรรมและรายการจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ 42263 เมื่อวันที่ 29 พฤษภาคม 2529 เสียทั้งสิ้น คำขออื่นให้ยก

โจทก์และจำเลยอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืน

โจทก์และจำเลยฎีกา โดยฎีกาของโจทก์ผู้พิพากษาที่ได้นั่งพิจารณาคดีในศาลชั้นต้นได้รับรองว่ามีเหตุสมควรที่จะฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงได้

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงฟังเป็นยุติว่า โจทก์เป็นบุตรนายหอม และนางถนอม กองโพธิ์ ถึงแก่ความตายเมื่อวันที่ 9 พฤศจิกายน 2526 โจทก์ได้รับแต่งตั้งเป็นผู้จัดการมรดกของนายหอมตามคำสั่งศาล เดิมนายหอมเป็นเจ้าของที่ดินตามเอกสารหมาย จ.2 และ จ.3 ที่ดินตามเอกสารหมาย จ.2 มีข้อกำหนดห้ามโอนภายใน 10 ปี นับแต่วันที่ 20 เมษายน 2522 จะพ้นกำหนดห้ามโอนวันที่ 20 เมษายน 2532 เว้นแต่ตกทอดทางมรดกตามประมวลกฎหมายที่ดิน มาตรา 31 เมื่อวันที่ 11 มีนาคม 2526 นายหอมได้ทำสัญญาให้จำเลยเช่าที่ดินทั้งสองแปลงดังกล่าว มีกำหนดระยะเวลาเช่า 10 ปี โดยจดทะเบียนการเช่าตามกฎหมาย ต่อมาวันที่ 29 พฤษภาคม 2529 จำเลยและนางถนอมภริยานายหอมได้ทำพินัยกรรม ฉบับลงวันที่ 9 มีนาคม 2526 ซึ่งมีข้อกำหนดในพินัยกรรมว่า นายหอมยกที่ดินตามเอกสารหมาย จ.2 ให้จำเลย 20 ไร่ ส่วนที่เหลือยกให้แก่นางถนอมและยกที่ดินตามเอกสารหมาย จ.3 ให้จำเลย 4 ไร่ ส่วนที่เหลือยกให้แก่นางถนอมเจ้าพนักงานที่ดินได้จดทะเบียนโอนที่ดินทั้งสองแปลงดังกล่าวให้แก่จำเลยและนางถนอมเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ร่วมกัน ปัญหาต่อไปตามฎีกาโจทก์มีว่า พินัยกรรมตามเอกสารหมาย จ.4 เป็นพินัยกรรมปลอมหรือไม่ ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า นายหอมได้ทำพินัยกรรมตามเอกสารหมาย จ.4 ยกที่ดินตามฟ้องให้แก่จำเลยจริง พินัยกรรมตามเอกสารหมาย จ.4 จึงมิใช่เอกสารปลอมดังที่โจทก์ฟ้อง ฎีกาโจทก์ฟังไม่ขึ้น

ปัญหาตามฎีกาจำเลยมีว่า พินัยกรรมตามเอกสารหมาย จ.4 มีผลบังคับได้เพียงใด ข้อเท็จจริงฟังได้ดังวินิจฉัยมาแล้วว่า พินัยกรรมตามเอกสารหมาย จ.4 ไม่ใช่พินัยกรรมปลอม การที่นายหอมทำพินัยกรรมยกที่ดินพิพาททั้งสองแปลงให้จำเลยตามจำนวนเนื้อที่ดินที่ตกลงซื้อขายซึ่งเป็นเจตนาอันแท้จริงของนายหอมผู้ทำพินัยกรรม ดังนั้น พินัยกรรมตามเอกสารหมาย จ.4 ในส่วนของที่ดินโฉนดเลขที่ 42264 ซึ่งไม่มีข้อกำหนดห้ามโอนจึงมีผลสมบูรณ์ใช้บังคับได้ จำเลยจึงมีสิทธิขอรับโอนที่ดินโฉนดเลขที่ 42264 ในฐานะผู้รับพินัยกรรมได้ส่วนข้อกำหนดพินัยกรรมที่นายหอมยกที่ดินโฉนดเลขที่ 42263 ให้แก่จำเลยนั้น เห็นว่าประมวลกฎหมายที่ดิน มาตรา 31 วรรคหนึ่ง บัญญัติว่า โฉนดที่ดินหรือหนังสือรับรองการทำประโยชน์ที่ได้ออกสืบเนื่องมาจากใบจองตามมาตรา 30 และมาตรา 33 ห้ามมิให้ผู้ได้มาซึ่งสิทธิในที่ดินดังกล่าวโอนที่ดินนั้นให้แก่ผู้อื่นในกรณีดังต่อไปนี้ (1) ถ้าเป็นกรณีที่ได้ออกใบจองในหรือหลังวันที่ 14 ธันวาคม พ.ศ. 2515 ห้ามโอนภายในสิบปีนับแต่วันได้รับโฉนดที่ดินหรือหนังสือรับรองการทำประโยชน์ ฯลฯ

ความในวรรคหนึ่งมิให้ใช้บังคับแก่กรณีที่ที่ดินนั้นตกทอดทางมรดก

จึงเห็นได้ว่า กฎหมายมาตราดังกล่าวบัญญัติขึ้นก็โดยมุ่งหมายที่จะให้ผู้ได้รับสิทธิในที่ดินได้มีที่ดินไว้ทำกินตลอดไปถึงลูกหลานหรือทายาทผู้มีสิทธิได้รับมรดกตามกฎหมายและเพื่อป้องกันมิให้ผู้ได้มาโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินไปให้บุคคลอื่นได้โดยง่าย คดีนี้ข้อเท็จจริงได้ความจากคำให้การและทางนำสืบของจำเลยว่า มูลเหตุที่นายหอมทำพินัยกรรมเอกสารหมาย จ.4 สืบเนื่องมาจากเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2526 นายหอมตกลงแบ่งขายที่ดินโฉนดเลขที่ 42263 และ 42264 ให้แก่จำเลย เนื้อที่ 20 ไร่ และ 4 ไร่ ตามสัญญาเอกสารหมาย ล.1 และ ล.2 ตามลำดับ โดยให้จำเลยปรับปรุงพื้นที่และสร้างอาคารเรียนเพื่อสร้างโรงเรียนได้ แต่นายหอมไม่สามารถจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินดังกล่าวให้แก่จำเลยตามสัญญาเพราะที่ดินโฉนดเลขที่ 42263 ซึ่งออกเมื่อวันที่ 16 เมษายน 2522 มีข้อกำหนดห้ามโอนภายใน 10 ปี ตามประมวลกฎหมายที่ดิน มาตรา 31 ทำให้จำเลยไม่อาจขอรับใบอนุญาตให้จัดตั้งโรงเรียนได้ เพราะตามพระราชบัญญัติโรงเรียนเอกชน พ.ศ. 2525 กำหนดให้ผู้ขอรับใบอนุญาตต้องยื่นคำร้องพร้อมหลักฐานแสดงการเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ในที่ดินหรือสัญญาเช่าที่ดินที่ใช้เป็นที่ตั้งโรงเรียนมีกำหนดไม่น้อยกว่า 10 ปี ตามเอกสารหมาย ล.8 แผ่นที่ 1 และที่ 2 ดังนั้น นางสาวแสงจันทร์ เจ้าหน้าที่ที่ดินจึงแนะนำให้ทำสัญญาเช่ากัน หากเกรงว่าจะเกิดปัญหาก็ให้ทำพินัยกรรมไว้ ประกอบกับขณะนั้นนายหอมป่วยเป็นโรคมะเร็งในลำไส้ซึ่งอาจจะทำให้เสียชีวิตในระยะเวลาอันสั้น จำเลยเองก็ทราบว่านายหอมเป็นโรคดังกล่าว ฉะนั้น การที่เมื่อวันที่ 9 มีนาคม 2526 นายหอมทำพินัยกรรมยกที่ดินโฉนดเลขที่ 42263 และ 42264 ให้แก่จำเลยตามเนื้อที่ดินที่จะแบ่งขายให้แก่จำเลยโดยได้รับเงินค่าที่ดินจากจำเลยแล้วตามเอกสารหมาย จ.4 ต่อมาวันที่ 11 มีนาคม 2526 จำเลยกับนายหอมไปทำสัญญาเช่าที่ดินดังกล่าวกันมีกำหนด 10 ปี โดยทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ ครั้นวันที่ 30 กรกฎาคม 2526 จำเลยได้รับอนุญาตให้ตั้งโรงเรียนเทคโนโลยีเกษตรกรรมนครราชสีมา ตามเอกสารหมาย ล.8 แผ่นที่ 3 ต่อมา วันที่ 9 พฤศจิกายน 2526 นายหอมก็ถึงแก่ความตาย พฤติการณ์ดังกล่าวข้างต้นแสดงให้เห็นได้โดยชัดแจ้งว่านายหอมและจำเลยจงใจหลีกเลี่ยงข้อกำหนดห้ามโอนตามประมวลกฎหมายที่ดิน มาตรา 31 วรรคหนึ่ง โดยนายหอมทำพินัยกรรมยกที่ดินโฉนดเลขที่ 42263 ซึ่งมีข้อกำหนดห้ามโอน และที่ดินโฉนดเลขที่ 42264 ซึ่งไม่มีข้อกำหนดห้ามโอนให้แก่จำเลยตามจำนวนเนื้อที่ดินที่ตกลงจะซื้อขายกัน เพื่อให้มีผลเป็นการโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ 42263 ภายในกำหนดระยะเวลาห้ามโอนตามกฎหมาย เมื่อจำเลยร่วมรู้เห็นให้นายหอมทำพินัยกรรมเพื่อหวังผลได้กรรมสิทธิ์ที่ดินดังกล่าวมาเป็นหลักฐานประกอบการขอรับใบอนุญาตจัดตั้งโรงเรียนอันแสดงถึงความไม่สุจริตของจำเลย จึงถือได้ว่าการยกที่ดินโฉนดเลขที่ 42263 ให้แก่จำเลยตามพินัยกรรมมีวัตถุประสงค์เป็นการฝ่าฝืนบทกฎหมายดังกล่าวย่อมตกเป็นโมฆะตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 150 กรณีไม่จำต้องวินิจฉัยฎีกาของจำเลยที่ว่า นายหอมทำพินัยกรรมยกที่ดินโฉนดเลขที่ 42263 ให้แก่จำเลย ถือว่าเป็นการตกทอดทางมรดกไม่ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายที่ดิน มาตรา 31 วรรคสองหรือไม่ อีกส่วนที่จำเลยฎีกาทำนองว่า ศาลล่างทั้งสองหยิบยกปัญหาข้อกฎหมายดังกล่าวขึ้นวินิจฉัยโดยอ้างว่าเป็นปัญหาข้อกฎหมายเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชนเป็นการไม่ชอบนั้น เห็นว่า ในชั้นชี้สองสถานศาลชั้นต้นได้กำหนดประเด็นข้อพิพาทไว้แล้วว่า นายหอม กองโพธิ์ ทำพินัยกรรมยกทรัพย์มรดกให้จำเลยหรือไม่ และพินัยกรรมมีผลบังคับได้เพียงใด ดังนั้น ที่ศาลล่างทั้งสองยกประเด็นดังกล่าวขึ้นวินิจฉัยจึงอยู่ในประเด็นข้อพิพาทดังกล่าว การที่ศาลจะยกบทกฎหมายเรื่องใดขึ้นปรับแก่คดีย่อมเป็นไปตามข้อเท็จจริงที่ได้จากการพิจารณา ที่ศาลล่างทั้งสองยกปัญหาดังกล่าวขึ้นวินิจฉัยจึงชอบแล้ว ฎีกาจำเลยฟังไม่ขึ้น

ปัญหาตามฎีกาจำเลยประการสุดท้ายมีว่า ฟ้องโจทก์ขาดอายุความหรือไม่ เห็นว่า คดีนี้โจทก์ฟ้องเรียกเอาทรัพย์มรดกที่ดินโฉนดเลขที่ 42263 และ 42264คืนจากจำเลย เมื่อข้อกำหนดพินัยกรรมในส่วนของที่ดินโฉนดเลขที่ 42263 ไม่เป็นผลเพราะตกเป็นโมฆะ จำเลยย่อมมิใช่เป็นทายาทโดยธรรมและผู้รับพินัยกรรมของนายหอมผู้ตาย จึงอ้างอายุความมรดก ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1754 และ 1755 มาเป็นข้อต่อสู้โจทก์ซึ่งเป็นทายาทโดยธรรมไม่ได้ทั้งโจทก์ฟ้องว่าพินัยกรรมปลอม มิได้ฟ้องขอให้เพิกถอนข้อกำหนดพินัยกรรมซึ่งผู้ทำพินัยกรรมได้กระทำโดยสำคัญผิด ถูกกลฉ้อฉล หรือถูกข่มขู่ดังที่บัญญัติไว้ในมาตรา 1708และ 1709 จึงไม่อยู่ในบังคับของอายุความตามมาตรา 1710 ดังนั้น คดีของโจทก์ในส่วนนี้จึงไม่ขาดอายุความ แต่คดีโจทก์สำหรับที่ดินโฉนดเลขที่ 42264 นั้น เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่าจำเลยมีสิทธิขอรับโอนที่ดินดังกล่าวในฐานะผู้รับพินัยกรรมดังวินิจฉัยมาแล้ว โจทก์ซึ่งมิได้รับประโยชน์จากพินัยกรรมจึงเป็นผู้ถูกตัดมิให้รับมรดกที่ดินดังกล่าวตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1608 วรรคท้ายกรณีไม่จำต้องวินิจฉัยว่า คดีโจทก์ในส่วนที่เกี่ยวกับที่ดินโฉนดเลขที่ 42264 ขาดอายุความหรือไม่อีก เพราะไม่ทำให้ผลคดีเปลี่ยนแปลง ฎีกาจำเลยข้อนี้ฟังไม่ขึ้นเช่นกัน”

พิพากษายืน

Share