คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2671/2548

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

ที่ดินพิพาททั้ง 4 แปลง และเงินสดจำนวน 200,000 บาท ที่ ล. แบ่งให้จำเลยเป็นทรัพย์มรดกของ ก. โจทก์ทั้งสามในฐานะทายาทโดยธรรมเช่นเดียวกับจำเลยย่อมมีสิทธิที่จะได้รับมรดกดังกล่าวด้วย การที่ ล. ฟ้องจำเลยเป็นอีกคดีหนึ่งแล้ว ล. กับจำเลยซึ่งเป็นผู้จัดการมรดกร่วมกันตกลงแบ่งปันทรัพย์มรดกและจำเลยถอนตัวจากการเป็นผู้จัดการมรดก แม้ศาลจะพิพากษาตามยอม เมื่อโจทก์ทั้งสามไม่ได้ลงลายมือชื่อให้ความยินยอมในสัญญาประนีประนอมยอมความดังกล่าวย่อมไม่มีผลผูกพันโจทก์ทั้งสาม ดังนั้น เมื่อจำเลยและ ล. แบ่งปันทรัพย์มรดกโดยไม่แบ่งให้แก่โจทก์ทั้งสามซึ่งมีสิทธิรับมรดกจึงเป็นการปฏิบัติผิดหน้าที่ของผู้จัดการมรดกตาม ป.พ.พ. มาตรา 1719 โจทก์ทั้งสามย่อมฟ้องขอแบ่งทรัพย์มรดกที่จำเลยได้รับไปได้ ตามมาตรา 1745 ประกอบมาตรา 1363
ฎีกาของจำเลยที่ว่า โจทก์ที่ 1 เป็นบุตรนอกสมรสของ ช. โดย ช. ไม่ได้จดทะเบียนรับรองโจทก์ที่ 1 เป็นบุตรนั้น จำเลยไม่ได้ยกข้อต่อสู้ไว้ในคำให้การว่าโจทก์ที่ 1 เป็นบุตรนั้น จำเลยไม่ได้ยกข้อต่อสู้ไว้ในคำให้การว่าโจทก์ที่ 1 ไม่ได้เป็นทายาทโดยธรรมของ ช. เจ้ามรดก จึงถือว่าเป็นข้อเท็จจริงที่ไม่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้น ต้องห้ามมิให้ฎีกาตาม ป.วิ.พ. มาตรา 249
ป.พ.พ. มาตรา 1613 บัญญัติว่าการสละมรดกจะทำแต่เพียงบางส่วนหรือทำโดยมีเงื่อนไขหรือเงื่อนเวลาไม่ได้ การที่ ล. ยอมแบ่งทรัพย์พิพาทซึ่งเป็นของ ก. ให้แก่จำเลยก็เพื่อให้จำเลยพ้นจากการเป็นผู้จัดการมรดกและจะไม่ยุ่งเกี่ยวกับทรัพย์มรดกส่วนอื่นๆ อีก เป็นการต้องห้ามตามบทกฎหมายดังกล่าวจึงถือไม่ได้ว่า ล. สละมรดก เมื่อ ก. มี ล. เป็นคู่สมรส ล. ย่อมมีสิทธิได้รับทรัพย์พิพาทกึ่งหนึ่งตามมาตรา 1635 (2) อีกกึ่งหนึ่งคงตกได้แก่โจทก์ทั้งสามและจำเลยคนละส่วนเท่าๆ กัน

ย่อยาว

โจทก์ทั้งสามฟ้องว่า โจทก์ทั้งสามและจำเลยกับนายลับ ชื่นอุรา เป็นทายาทโดยธรรมที่มีสิทธิรับทรัพย์มรดกของนางกิมฮวย ชื่นอุรา เมื่อปี 2534 ศาลชั้นต้นได้มีคำสั่งตั้งนายลับ ชื่นอุรา กับจำเลยให้ร่วมกันเป็นผู้จัดการมรดกของนางกิมฮวย ต่อมานายลับได้ฟ้องจำเลยเป็นคดีมรดกอีกคดีหนึ่ง แล้วบุคคลทั้งสองได้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความกันโดยนายลับตกลงแบ่งทรัพย์มรดกของนางกิมฮวย คือที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. 3 ก.) เลขที่ 2280, 2033, 3440 และ 1475 รวม 4 แปลง พร้อมสิ่งปลูกสร้าง รวมมูลค่าประมาณ 750,000 บาท และเงินสดอีก 200,000 บาท ให้แก่จำเลย ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาตามยอมเมื่อปี 2543 ต่าอมาเมื่อวันที่ 12 มิถุนายน 2543 จำเลยได้ดำเนินการจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ในที่ดินทั้ง 4 แปลง ดังกล่าวพร้อมสิ่งปลูกสร้าง เป็นของจำเลย โดยไม่แบ่งปันให้แก่โจทก์ทั้งสามซึ่งมีสิทธิได้รับทรัพย์มรดกดังกล่าวด้วย ทำให้โจทก์ทั้งสามได้รับความเสียหายขอให้บังคับจำเลยจัดการแบ่งปันทรัพย์มรดกที่ดินทั้ง 4 แปลงพร้อมสิ่งปลูกสร้างให้โจทก์ทั้งสามและจำเลยคนละส่วนเท่าๆ กันหากไม่สามารถแบ่งได้ให้ศาลมีคำสั่งยึดที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างทั้งหมดออกขายทอดตลาดมาแบ่งปันกันคนละส่วนเท่าๆ กัน และให้จำเลยแบ่งเงินจำนวน 200,000 บาท ให้โจทก์ทั้งสาม คนละ 50,000 บาท
จำเลยให้การว่า ศาลชั้นต้นเคยมีคำสั่งตั้งจำเลยกับนายลับ ชื่นอุรา ให้ร่วมกันเป็นผู้จัดการมรดกของนางกิมฮวย ชื่นอุรา ต่อมานายลับได้ฟ้องจำเลยในฐานะส่วนตัวและทำสัญญาประนีประนอมยอมความกัน โดยให้จำเลยพ้นจากการเป็นผู้จัดการมรดกของนางกิมฮวย และนายลับตกลงให้ทรัพย์สินและเงินสดแก่จำเลย ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาตามยอมแล้ว ดังนั้น ทรัพย์สินและเงินสดที่จำเลยได้รับจากนายลับตามสัญญา จึงเป็นทรัพย์สินส่วนตัวของจำเลย มิใช่ทรัพย์มรดกของนางกิมฮวย ซึ่งจะต้องนำมาแบ่งปันให้แก่โจทก์ทั้งสามโจทก์ทั้งสามไม่มีอำนาจฟ้อง ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษา ให้จำเลยจัดการแบ่งที่ดิน 4 แปลง ตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. 3 ก.) เลขที่ 2280, 2033, 2440 พร้อมสิ่งปลูกสร้างและเลขที่ 1475 ตำบลสามแวง อำเภอเมืองบุรีรัมย์ จังหวัดบุรีรัมย์ แก่โจทก์ทั้งสามและจำเลย คนละส่วนเท่าๆ กัน หากจำเลยไม่ดำเนินการหรือไม่สามารถแบ่งได้ ให้ยึดที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างดังกล่าวออกขายทอดตลาด และนำเงินสุทธิที่ได้รับจากการขายทอดตลาดมาแบ่งปันกันคนละส่วนเท่าๆ กัน และให้จำเลยแบ่งเงินสดให้โจทก์ทั้งสาม คนละ 50,000 บาท กับให้จำเลยชำระค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ทั้งสาม โดยกำหนดค่าทนายความให้โจทก์คนละ 1,000 บาท
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยแบ่งที่ดินทั้ง 4 แปลง ตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. 3 ก.) เลขที่ 2280, 2033, 2440 พร้อมสิ่งปลูกสร้าง และเลขที่ 1475 ตำบลสามแวง อำเภอเมืองบุรีรัมย์ จังหวัดบุรีรัมย์ แก่โจทก์ทั้งสามคนละ 1 ส่วน ใน 8 ส่วน ถ้าแบ่งไม่ได้ให้นำที่ดินออกขายทอดตลาดแบ่งเงินสุทธิให้โจทก์ทั้งสามคนละ 1 ส่วน ใน 8 ส่วน และให้จำเลยแบ่งเงินมรดกให้โจทก์ทั้งสามคนละ 25,000 บาท ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้คืนค่าขึ้นศาลในชั้นต้นจำนวน 4,687.50 บาท แก่โจทก์ทั้งสาม และให้คืนค่าขึ้นศาลในชั้นอุทธรณ์จำนวน 4,687.50 บาท แก่จำเลย
โจทก์ทั้งสามและจำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงเบื้องต้นฟังเป็นยุติว่า นางกิมฮวย ชื่นอุรา เจ้ามรดกมีพี่น้องร่วมบิดามารดาเดียวกันทั้งหมด 5 คน คือ นางกิมฮวย นางเล็ก เขียนนิลศิริ มารดาจำเลย นายชูศักดิ์ อินทรกำแหง บิดาโจทก์ที่ 1 โจทก์ที่ 2 และโจทก์ที่ 3 ก่อนนางกิมฮวยถึงแก่ความตาย มีนายลับ ชื่นอุรา เป็นสามีชอบด้วยกฎหมาย นางกิมฮวยถึงแก่ความตายปี 2534 นายลับสามีได้ยื่นคำร้องขอเป็นผู้จัดการมรดกนางกิมฮวย นางเล็กมารดาจำเลยได้ยื่นคำร้องคัดค้าน แต่ในที่สุดตกลงกันให้จำเลยและนายลับร่วมกันเป็นผู้จัดการมรดกของนางกิมฮวยและศาลได้มีคำสั่งตั้งจำเลยและนายลับเป็นผู้จัดการมรดกร่วมกัน หลังจากนั้นทั้งนายชูศักดิ์และนางเล็กได้ถึงแก่ความตาย และในวันที่ 10 มีนาคม 2542 นายลับเป็นโจทก์ฟ้องจำเลยขอแบ่งทรัพย์มรดกหลายรายการ ตามคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 696/2543 ของศาลชั้นต้น ต่อมานายลับและจำเลยตกลงแบ่งทรัพย์มรดกของนางกิมฮวยกันได้และทำสัญญาประนีประนอมยอมความกันในศาลโดยนายลับตกลงแบ่งที่ดินตาม น.ส. 3 ก. เลขที่ 2280, 2033, 3440 พร้อมสิ่งปลูกสร้าง และเลขที่ 1475 ให้แก่จำเลย ซึ่งคือที่ดินพิพาทในคดีนี้ และนายลับยังได้ตกลงชำระเงินอีกจำนวน 200,000 บาท แก่จำเลยเป็นค่าสลากออมสินที่นายลับได้รับจากนางกิมฮวยและเป็นค่าที่นายลับเก็บกินผลประโยชน์จากทรัพย์มรดก โดยจำเลยไม่ติดใจในทรัพย์มรดกของนางกิมฮวยอีกและให้จำเลยพ้นจากการเป็นผู้จัดการมรดก ซึ่งศาลได้มีคำพิพากษาตามสัญญาประนีประนอมยอมความตามเอกสารหมาย จ.4 ต่อมาจำเลยได้จดทะเบียนโอนที่ดินพิพาทเป็นของจำเลยตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. 3 ก.) เอกสารหมาย จ. 6 ถึง จ. 9 โจทก์ทั้งสามจึงฟ้องแบ่งที่ดินพิพาททั้ง 4 แปลงจากจำเลย
คดีมีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยในข้อแรกว่า โจทก์ทั้งสามมีสิทธิฟ้องขอแบ่งทรัพย์มรดกจากจำเลยหรือไม่ ในข้อนี้จำเลยฎีกาว่า จำเลยได้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความกับนายลับจนศาลพิพากษาตามยอมแล้ว โดยให้จำเลยถอนตัวจากการเป็นผู้จัดการมรดกของนางกิมฮวย และให้นายลับเป็นผู้จัดการมรดกเพียงคนเดียว เมื่อนายลับแบ่งทรัพย์มรดกให้จำเลย หากโจทก์ทั้งสามได้รับความเสียหายก็ต้องไปฟ้องร้องเรียกเอาจากนายลับนั้น เห็นว่า ที่ดินพิพาททั้ง 4 แปลง และเงินสดจำนวน 200,000 บาท ที่นายลับแบ่งให้จำเลยเป็นทรัพย์มรดกของนางกิมฮวย โจทก์ทั้งสามในฐานะทายาทโดยธรรมเช่นเดียวกับจำเลยย่อมมีสิทธิที่จะได้รับการแบ่งปันทรัพย์มรดกดังกล่าวด้วย การที่นายลับกับจำเลยซึ่งเป็นผู้จัดการมรดกร่วมกันตกลงแบ่งปันทรัพย์มรดกและจำเลยถอนตัวจากการเป็นผู้จัดการมรดก แม้ศาลจะพิพากษาตามยอมแล้ว เมื่อโจทก์ทั้งสามไม่ได้ลงลายมือชื่อให้ความยินยอมในสัญญาประนีประนอมยอมความดังกล่าวย่อมไม่มีผลผูกพันโจทก์ทั้งสาม ดังนั้น เมื่อจำเลยและนายลับแบ่งปันทรัพย์มรดกโดยไม่แบ่งปันทรัพย์มรดกให้แก่โจทก์ทั้งสามซึ่งมีสิทธิรับมรดกเช่นนี้จึงเป็นการปฏิบัติผิดหน้าที่ของผู้จัดการมรดกตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1719 โจทก์ทั้งสามในฐานะทายาทโดยธรรมผู้มีส่วนได้เสียและมีสิทธิได้รับทรัพย์มรดกย่อมฟ้องขอแบ่งทรัพย์มรดกคือที่ดินพิพาททั้ง 4 แปลงและเงินจำนวน 200,000 บาท ที่จำเลยได้รับไปได้ ทั้งนี้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1745 ประกอบมาตรา 1363 ฎีกาของจำเลยข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยในข้อต่อไปมีว่า โจทก์ที่ 1 ไม่มีสิทธิฟ้องจำเลยหรือไม่ ในข้อนี้จำเลยฎีกาว่า โจทก์ที่ 1 เป็นบุตรนอกสมรสสของนายชูศักดิ์ โดยนายชูศักดิ์ไม่ได้จดทะเบียนรับรองโจทก์ที่ 1 เป็นบุตรนั้น เห็นว่า จำเลยไม่ได้ยกข้อต่อสู้ไว้ในคำให้การว่าโจทก์ที่ 1 ไม่ได้เป็นทายาทโดยธรรมของเจ้ามรดก ฎีกาของจำเลยในข้อนี้ถือว่าเป็นข้อเท็จจริงที่ไม่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้น ต้องห้ามมิให้ฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้
ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ทั้งสามมีเพียงประการเดียวว่า นายลับสละสิทธิ์ในส่วนแบ่งมรดกที่ดิน 4 แปลง และเงินสดจำนวน 200,000 บาท หรือไม่ ในข้อนี้โจทก์ทั้งสามฎีกาว่าการที่นายลับทำสัญญาประนีประนอมยอมความกับจำเลยโดยยอมแบ่งที่ดินพิพาท 4 แปลง และเงินสดจำนวน 200,000 บาท ให้แก่จำเลยย่อมถือว่านายลับมีเจตนาสละสิทธิ์ในทรัพย์มรดกส่วนนี้แล้ว เห็นว่า ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1613 บัญญัติว่า การสละมรดกจะทำแต่เพียงบางส่วนหรือทำโดยมีเงื่อนไขหรือเงื่อนเวลาไม่ได้ การที่นายลับยอมแบ่งทรัพย์มรดกดังกล่าวให้แก่จำเลยก็เพื่อให้จำเลยพ้นจากการเป็นผู้จัดการมรดกและจะไม่ยุ่งเกี่ยวกับทรัพย์มรดกส่วนอื่นๆ อีก เป็นการต้องห้ามตามบทกฎหมายดังกล่าวจึงถือไม่ได้ว่านายลับสละมรดก เมื่อข้อเท็จจริงในคดีปรากฏว่าเจ้ามรดกยังมีนายลับเป็นคู่สมรส นายลับย่อมมีสิทธิได้รับทรัพย์กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1635 (2) อีกกึ่งหนึ่งคงตกได้แก่โจทก์ทั้งสามและจำเลยคนละส่วนเท่าๆ กัน ดังนั้น ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 วินิจฉัยให้จำเลยแบ่งที่ดินทั้ง 4 แปลงและเงินสดให้โจทก์ทั้งสามคนละ 1 ส่วนใน 8 ส่วน จึงชอบแล้วฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ

Share