แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
อ.ทำงานเกี่ยวกับด้านบัญชี แม้ภายหลังนายจ้างจะมอบหมายงานให้ทำมากขึ้นโดยทำงานเฝ้าเหมือง ดูแลคนงาน เบิกจ่ายเงิน ดูแลพัสดุ ติดต่อกับหน่วยงานอื่น และคุมแร่ไปขาย ที่จังหวัดภูเก็ตด้วย งานที่ อ. ทำก็มิใช่งานที่ต้องใช้กำลังมากไม่อาจทำให้เกิดโรคหรือการเจ็บป่วยจนถึงแก่ความตายได้ และอ.มิได้ทำงานตรากตรำวันเกิดเหตุอ. ไปทำงานตอนเช้าตามปกติ ตอนสายได้กลับมาบ้านและให้โจทก์ ซึ่งเป็นภริยาพาไปส่งโรงพยาบาลเนื่องจากปวดศีรษะแต่ อ. เป็นลมล้มฟุบลงที่โต๊ะอาหาร และถึงแก่ความตายเพราะหัวใจหยุดทำงานเฉียบพลัน การตายของ อ. ยังถือไม่ได้ว่าถึงแก่ความตายด้วยโรคหรือการป่วยเจ็บเนื่องจากการทำงาน
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นภริยาโดยชอบด้วยกฎหมายของนายโอภาส เทวภักดิ์ มีบุตรธิดาด้วยกัน 6 คน จำเลยที่ 1เป็นนิติบุคคลที่มีจำเลยที่ 2 เป็นเลขาธิการ มีอำนาจกระทำการแทนจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 2 มีอำนาจหน้าที่วินิจฉัยคำสั่งเงินทดแทนตามกฎหมายนายโอภาสเป็นลูกจ้างของบริษัทเรือขุดแร่สหพิบูลย์จำกัด ตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายน 2515 ตำแหน่งผู้ช่วยเสมียนใหญ่เมื่อประมาณปลายปี 2533 บริษัทเรือขุดแร่สหะพิบูลย์ จำกัด อ้างว่าดำเนินการขาดทุน จึงได้เลิกจ้างคนงานและพนักงานประจำจนกระทั่งครั้งสุดท้ายเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2535 เหลือพนักงานประจำเพียง 3 คน คือ นายสุทิน เชี่ยววัฒนา ตำแหน่งผู้จัดการนายธิราศ จันทศรีและนายโอภาส ตามปกตินายโอภาสจะทำงานเกี่ยวกับบัญชีเท่านั้นแต่เมื่อบริษัทมีพนักงานประจำอยู่เพียง 3 คน บริษัทจึงได้มอบหมายงานให้นายโอภาสทำมากขึ้นนอกเหนือจากที่งานปกติ เช่น งานเฝ้าเหมือง ควบคุมการเบิกจ่ายเงินควบคุมดูแลพัสดุและการเบิกจ่ายอุปกรณ์ในเหมือง ติดต่อกับหน่วยงานราชการและบุคคลภายนอกควบคุมดูแลการซ่อมเครื่องจักรกลคุมแร่ไปขายยังจังหวัดภูเก็ต ดูแลทางด้านการเสียภาษี จนกระทั่งในบางครั้งนายโอภาสต้องทำงานติดต่อกัน ไม่มีเวลาหยุดพักผ่อนต้องทำงานทั้งกลางวันและกลางคืนจนล่วงเวลาทำงานปกติบ่อยครั้งและนายโอภาสเคยปรารภกับโจทก์ว่าจะลาออกเพราะทนสภาพการตรากตรำงานไม่ไหว และมีอาการเครียดทางประสาทเสมอมา เมื่อวันที่ 6 กรกฎาคม 2535 นายโอภาสไปทำงานตามปกติตั้งแต่เวลา 6 นาฬิกา และได้ออกไปตรวจดูงานขุดแร่ในเหมืองขณะที่มีอากาศร้อนจัด จนกระทั่งเกิดมีอาการปวดศีรษะจึงขอลาหยุดงานเพื่อขอพักผ่อนก่อนเวลา 11 นาฬิกา โดยกลับมานอนพักผ่อนที่บ้าน แต่เมื่อมาถึงบ้านได้ 10 นาที ก็เกิดอาการแน่นหน้าอก หน้ามืดและเป็นลมแน่นิ่งหมดสติไป โจทก์จึงได้พานายโอภาสไปส่งที่โรงพยาบาล เมื่อไปถึงแพทย์ตรวจแล้วแจ้งกับโจทก์ว่านายโอภาสถึงแก่ความตายระหว่างทางโดยลงความเห็นว่าสาเหตุการตายเนื่องจากหัวใจหยุดทำงานเฉียบพลันขณะที่ถึงแก่ความตายนั้นนายโอภาสมีอายุได้ 51 ปี หลังจากที่นายโอภาสถึงแก่ความตายแล้วโจทก์ได้ไปติดต่อที่สำนักงานประกันสังคมจังหวัดนครศรีธรรมราชเพื่อขอรับเงินทดแทนตามที่โจทก์มีสิทธิได้รับ แต่ทางสำนักงานประกันสังคมจังหวัดนครศรีธรรมราชแจ้งให้โจทก์ทราบว่าโจทก์ไม่มีสิทธิได้รับเงินทดแทนจากกองทุนเงินทดแทน เพราะสภาพการงานและลักษณะงานไม่เป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่สุขภาพและร่างกาย การเจ็บป่วยของนายโอภาสไม่ได้เกิดจากการทำงานให้แก่นายจ้าง ตามประกาศกระทรวงมหาดไทยเรื่อง การคุ้มครองแรงงาน โจทก์ไม่เห็นด้วยกับคำวินิจฉัยของสำนักงานประกันสังคมจังหวัดนครศรีธรรมราช จึงได้อุทธรณ์คำวินิจฉัยดังกล่าวนั้นต่อคณะกรรมการกองทุนเงินทดแทนคณะกรรมการกองทุนเงินทดแทนได้พิจารณาแล้วมีความเห็นว่านายโอภาสไม่ได้เสียชีวิตในขณะปฏิบัติหน้าที่งานในหน้าที่ความรับผิดชอบของนายโอภาสไม่ใช่งานเครียด และมีมติว่านายโอภาสมิได้เจ็บป่วยจนถึงแก่ความตายเนื่องจากการทำงานให้แก่นายจ้าง โจทก์ไม่เห็นพ้องด้วยกับคำวินิจฉัยของคณะกรรมการกองทุนเงินทดแทนเพราะการที่นายโอภาสถึงแก่ความตาย มีสาเหตุมาจากการทำงานให้แก่บริษัทเรือขุดแร่สหะพิบูลย์จำกัด ผู้เป็นนายจ้าง กล่าวคือจากสภาพการงานที่นายโอภาสต้องรับผิดชอบเพิ่มขึ้นนั้น มิใช่งานทำอยู่เป็นประจำลักษณะงานทำให้ต้องตรากตรำเกินกำลังและเหน็ดเหนื่อยติดต่อกันเรื่อยมาจนเป็นเหตุถึงกับเป็นลมและถึงแก่ความตายในขณะที่อยู่ในระหว่างปฏิบัติหน้าที่ อีกทั้งไม่เคยปรากฏว่านายโอภาสมีโรคประจำตัวหรือเหตุใดที่จะทำให้ตายโดยปัจจุบัน นอกจากเหตุที่กำลังทำงานอยู่การกระทำของจำเลยทั้งสองเป็นเหตุให้โจทก์ได้รับความเสียหายไม่ได้รับเงินทดแทน ขอให้พิพากษาเพิกถอนคำสั่งของสำนักงานประกันสังคมจังหวัดนครศรีธรรมราช และคำวินิจฉัยของจำเลยที่ 1 กับจำเลยที่ 2
จำเลยทั้งสองให้การว่า งานในหน้าที่เกี่ยวกับบัญชีที่นายโอภาสผู้ตายทำงานอยู่นั้น มิใช่งานที่อาจจะเป็นอันตรายต่อสุขภาพหรือร่างกายของลูกจ้าง ตามประกาศกระทรวงมหาดไทยเรื่องกำหนดงานที่อาจเป็นอันตรายต่อสุขภาพหรือร่างกายของลูกจ้างส่วนเมื่อวันที่ 6 กรกฎาคม 2535 ที่นายโอภาสไปทำงานตามปกติและได้ไปตรวจดูคนงานขุดแร่ในเหมืองก็มิใช่งานที่จะต้องใช้ความคิดอันที่จะก่อให้เกิดความเครียดหรือใช้กำลังกายทำงานหนักเกินกว่าปกติที่บุคคลทั่วไปจะทำได้ ที่นายโอภาสเกิดอาการปวดศีรษะขึ้นมาโดยกระทันหัน จึงขอลางานกลับบ้าน เมื่อกลับถึงบ้านก็เป็นลมหมดสติถึงแก่ความตายทันทีเนื่องจากหัวใจหยุดทำงานโดยเฉียบพลัน แสดงว่าการตายของนายโอภาสเกิดจากโรคที่เกิดจากความเครียด แต่เป็นโรคเกี่ยวกับหัวใจ และไม่ใช่โรคซึ่งเกิดขึ้นเกี่ยวเนื่องกับการทำงานขอให้ยกฟ้อง
ระหว่างการพิจารณาของศาลแรงงานกลาง โจทก์ขอถอนฟ้องจำเลยที่ 2 ศาลแรงงานกลางอนุญาตและให้จำหน่ายคดีเฉพาะจำเลยที่ 2
ศาลแรงงานกลางพิพากษาให้เพิกถอนคำสั่งสำนักงานประกันสังคมที่ นศ.35/189 และคำวินิจฉัยที่ มท.1311/62411 เรื่องอุทธรณ์คำวินิจฉัยของคณะกรรมการกองทุนเงินทดแทน และให้จำเลยที่ 1 จ่ายเงินทดแทนให้แก่โจทก์และทายาทตามกฎหมาย
จำเลยที่ 1 อุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงฟังได้ยุติตามที่ศาลแรงงานกลางวินิจฉัยว่า นายโอภาส เทวภักดิ์ เป็นลูกจ้างบริษัทเรือขุดแร่สหะพิบูลย์ จำกัด ตั้งแต่ปี 2515 ทำหน้าที่ผู้ช่วยเสมียนใหญ่ ทำงานเกี่ยวกับบัญชี ต่อมาปี 2533 บริษัทนายจ้างประสบการขาดทุนได้เลิกจ้างพนักงาน เหลือพนักงานประจำสำนักงาน 3 คน บริษัทนายจ้างมอบหมายให้นายโอภาสเฝ้าเหมืองดูแลคนงาน เบิกจ่ายเงินเดือน ดูแลพัสดุ ติดต่อกับหน่วยงานอื่นและคุมแร่ไปขายที่จังหวัดภูเก็ต เดิมนายโอภาสเป็นคนแข็งแรงไม่เคยป่วยเจ็บก่อนถึงแก่ความตาย 5-6 เดือน นายโอภาส บ่นกับเพื่อนร่วมงานว่ามีอาการปวดหัวและไม่สบายเนื่องจากต้องทำงานหนักวันที่ 6 กรกฎาคม 2535 ตอนเช้านายโอภาสไปทำงานปกติตอนสายนายโอภาสได้กลับไปที่บ้านและบอกให้โจทก์พาไปส่งโรงพยาบาลเนื่องจากปวดศีรษะ แล้วนายโอภาสเป็นลมล้มฟุบลงที่โต๊ะอาหาร โจทก์พานายโอภาสไปส่งโรงพยาบาลร่อนพิบูลย์แพทย์ตรวจแล้วแจ้งโจทก์ว่านายโอภาสถึงแก่ความตายเนื่องจากหัวใจหยุดทำงานโดยเฉียบพลันก่อนที่จะไปถึงโรงพยาบาล คดีมีปัญหาวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของจำเลยที่ 1 ว่านายโอภาสถึงแก่ความตายเนื่องจากการทำงานให้แก่นายจ้างหรือไม่ซึ่งจำเลยที่ 1 อุทธรณ์ว่าการที่นายโอภาสเป็นลมหมดสติและถึงแก่ความตายทันทีเนื่องจากการทำงานของหัวใจล้มเหลวเป็นผลเนื่องมาจากทำงานให้แก่นายจ้าง พิเคราะห์แล้วเห็นว่า โรคหรือการเจ็บป่วยอย่างอื่นที่ทำให้ลูกจ้างถึงแก่ความตายอันเป็นผลให้นายจ้างต้องจ่ายค่าทดแทนตามความในข้อ 22 แห่งประกาศกระทรวงมหาดไทยเรื่อง โรคซึ่งเกิดขึ้นเกี่ยวเนื่องกับการทำงาน ลงวันที่16 เมษายน 2515 นั้น จะต้องเป็นโรคหรือการเจ็บป่วยที่เกิดขึ้นสืบเนื่องจากการทำงานของลูกจ้างโดยตรง หรืออีกนัยหนึ่งก็คืองานที่ลูกจ้างทำนั้นเป็นมูลให้เกิดโรคหรือการเจ็บป่วยขึ้นและเป็นเหตุให้ลูกจ้างถึงแก่ความตายด้วยโรคหรือการเจ็บป่วยดังกล่าว ตามปกติแล้วการทำงานของนายโอภาสทำงานเกี่ยวกับด้านบัญชี แม้ภายหลังนายจ้างจะมอบหมายงานให้ทำมากขึ้นโดยให้นายโอภาสทำงานเฝ้าเหมือง ดูแลคนงาน เบิกจ่ายเงินเดือนดูแลพัสดุ ติดต่อกับหน่วยงานอื่น และคุมแร่ไปขายที่จังหวัดภูเก็ตด้วย งานที่นายโอภาสทำก็มิใช่งานที่ต้องใช้กำลังมากไม่อาจทำให้เกิดโรคหรือการเจ็บป่วยจนถึงแก่ความตายได้ ตามข้อเท็จจริงที่ศาลแรงงานกลางฟังมานั้นนายโอภาสมิได้ทำงานตรากตรำวันเกิดเหตุนายโอภาสไปทำงานตอนเช้าตามปกติตอนสายได้กลับบ้านและให้โจทก์ซึ่งเป็นภริยาพาไปส่งโรงพยาบาลเนื่องจากปวดศีรษะ แต่นายโอภาสเป็นลมล้มฟุบลงที่โต๊ะอาหารและถึงแก่ความตายเพราะหัวใจหยุดทำงานเฉียบพลัน การตายของนายโอภาสยังถือไม่ได้ว่าถึงแก่ความตายด้วยโรคหรือการเจ็บป่วยเนื่องจากการทำงาน โจทก์ไม่มีสิทธิได้รับเงินทดแทน ที่ศาลแรงงานกลางพิพากษามานั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย
พิพากษากลับ ให้ยกฟ้อง