คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 266/2537

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยที่ 1 เป็นหนี้โจทก์ 3 รายการ เฉพาะหนี้รายการที่ 2มีที่ดินจำนองเป็นประกันมีราคาเกินกว่าหนี้ทั้ง 3 รายการ และจำเลยที่ 1 ยังมีทรัพย์สินอื่นอีก โดยเป็นที่ดิน 3 แปลง แม้จะจำนองเป็นประกันหนี้บุคคลอื่นก็ตาม แต่ก็มีราคาเกินกว่าหนี้จำนองนั้น ๆ โจทก์จึงสามารถยึดบังคับชำระหนี้ได้ การที่จำเลยที่ 1โอนที่ดินพิพาททั้ง 5 แปลงให้จำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นบุตรโดยเสน่หายังถือไม่ได้ว่าเป็นการกระทำที่จะเป็นทางให้โจทก์ซึ่งเป็นเจ้าหนี้เสียเปรียบตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 237 โจทก์ขอให้เพิกถอนการโอนไม่ได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องว่า จำเลยที่ 1 เป็นหนี้โจทก์จำนวน1,440,053.81 บาท จำเลยที่ 1 ได้จดทะเบียนโอนที่ดิน 5 แปลง ตามโฉนดที่ดินเลขที่ 67724, 67725, 67726, 67727 และ 17512 ของจำเลยที่ 1 ให้แก่จำเลยที่ 2 โดยเสน่หา เพื่อหลีกเลี่ยงหรือขัดขวางการบังคับชำระหนี้ โดยรู้อยู่ว่าเป็นทางให้โจทก์เสียเปรียบเพราะจำเลยที่ 1 ไม่มีทรัพย์สินอื่นที่โจทก์จะบังคับชำระหนี้ได้อีก ขอให้เพิกถอนนิติกรรมการโอนที่ดินพิพาททั้ง 5 แปลงดังกล่าว
จำเลยทั้งสองให้การว่า จำเลยที่ 2 เป็นบุตรจำเลยที่ 1 ช่วยจำเลยที่ 1 ประกอบการค้า จำเลยที่ 1 จึงโอนที่ดินพิพาททั้ง 5 แปลงให้ หาใช่เพื่อหลีกเลี่ยงเจ้าหนี้หรือโจทก์ไม่ ทรัพย์สินของจำเลยที่ 1 แม้ติดจำนองแต่มีราคาเกินจำนวนหนี้ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว พิพากษาให้เพิกถอนการจดทะเบียนโอนที่ดินพิพาททั้ง 5 แปลง ให้จำเลยทั้งสองร่วมกันใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความ 1,200 บาท
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืน ให้จำเลยทั้งสองร่วมกันใช้ค่าทนายความในชั้นอุทธรณ์แทนโจทก์ 500 บาท
จำเลยทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า จำเลยที่ 1 เป็นหนี้โจทก์ 3 รายการหนี้รายการที่ 1 ศาลได้พิพากษาตามสัญญาประนีประนอมยอมความแล้วให้จำเลยผ่อนชำระแก่โจทก์เดือนละ 5,000 บาท ซึ่งทางนำสืบของโจทก์ไม่ปรากฏว่าจำเลยผิดนัด หนี้รายการที่ 2 มีทรัพย์สินจำนองเป็นประกัน สำหรับรายการนี้แม้โจทก์จะนำสืบว่าโจทก์ได้นำเจ้าพนักงานบังคับคดีไปยึดทรัพย์สินที่จำนองเพื่อบังคับคดีแล้วเจ้าพนักงานบังคับคดีประเมินราคาขณะยึดไว้ 200,000 บาท แต่ได้ความจากพยานโจทก์ว่าราคาประเมินที่เจ้าพนักงานบังคับคดีประเมินในขณะยึดมักจะต่ำกว่าราคาที่ทางธนาคารประเมินตอนรับจำนอง โดยโจทก์ประเมินราคาจดทะเบียนจำนองไว้ 800,000 บาท และโดยปกติธนาคารจะประเมินราคาทรัพย์สินที่นำมาเป็นประกันไม่เกิน 50 เปอร์เซ็นต์แสดงว่าขณะจดทะเบียนจำนอง ทรัพย์สินที่จำนองประกันหนี้รายการนี้มีราคาประมาณ 1,600,000 บาท เกินกว่าจำนวนหนี้ที่จำเลยที่ 1เป็นหนี้โจทก์อยู่ประมาณ 200,000 บาท จำเลยที่ 1 ยังมีที่ดินอีก 3 แปลง อยู่ในอำเภอเมืองนครราชสีมา จังหวัดนครราชสีมา แม้จำเลยที่ 1 จะนำไปจำนองประกันหนี้ไว้แก่ธนาคารอื่นก็ตาม แต่ก็มีราคาสูงเกินกว่าจำนวนหนี้ของธนาคารนั้นอยู่มาก และเมื่อมีการบังคับจำนองชำระหนี้แล้วก็น่าจะยังมีเหลือพอที่โจทก์จะบังคับชำระหนี้ได้อีก หากทรัพย์สินที่จำนองประกันหนี้รายการที่ 2 ไม่พอชำระหนี้ ที่จำเลยที่ 1 รับว่าเป็นหนี้บริษัทธานินทร์ จำกัด ด้วยแต่ก็ไม่ปรากฏว่าจำเลยที่ 1 ขัดข้องในการชำระหนี้อย่างไร ทั้งจำเลยที่ 1 ยังมีร้านจำหน่ายเครื่องไฟฟ้าอีก 3 คูหาด้วย จึงเห็นได้ว่า จำเลยที่ 1 ยังมีทรัพย์สินพอที่โจทก์จะบังคับชำระหนี้ได้นอกจากนี้หากจำเลยที่ 1 ต้องการหลีกเลี่ยงการชำระหนี้โจทก์แล้วจำเลยที่ 1 ก็สามารถกระทำได้โดยโอนที่ดินพิพาทให้แก่บุคคลอื่นซึ่งแยบยลสมเหตุผลดีกว่าโอนให้จำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นบุตรเสียอีกที่จำเลยที่ 1 โอนที่ดินพิพาททั้ง 5 แปลงให้จำเลยที่ 2 จึงยังถือไม่ได้ว่าเป็นการกระทำที่จะเป็นทางให้โจทก์ซึ่งเป็นเจ้าหนี้เสียเปรียบ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 237 โจทก์จึงขอให้เพิกถอนการโอนไม่ได้ ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษาให้เพิกถอนการจดทะเบียนโอนที่ดินพิพาททั้ง 5 แปลงนั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยทั้งสองฟังขึ้น
พิพากษากลับให้ยกฟ้อง ให้โจทก์ใช้ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสามศาลแทนจำเลยทั้งสองโดยกำหนดค่าทนายความรวม 2,000 บาท

Share