แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ความว่า โจทก์อุทธรณ์ ศาลภาษีอากรกลางสั่งว่า อุทธรณ์ข้อ2.1 ของโจทก์เป็นอุทธรณ์ที่โต้เถียงข้อเท็จจริงที่โจทก์แถลงยอมรับและฟังเป็นยุติแล้ว จึงเป็นอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงต้องห้ามตามมาตรา 25 แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลภาษีอากรและวิธีพิจารณาคดีภาษีอากร พ.ศ. 2528 อุทธรณ์ข้อ 2.2 ของโจทก์ที่อุทธรณ์ว่าเจ้าพนักงานประเมินได้นำเอาค่าอาหารไปรวมเป็นค่าแรงด้วย ปรากฏว่าความข้อนี้โจทก์มิได้กล่าวในฟ้อง เพิ่งจะมายกขึ้นกล่าวอ้างในชั้นนี้ จึงเป็นข้อเท็จจริงที่มิได้ยกขึ้นว่ากล่าวกันในศาลชั้นต้น จึงต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 225 ประกอบด้วย มาตรา 17 แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลภาษีอากรและวิธีพิจารณาคดีภาษีอากร พ.ศ. 2518 จึงมีคำสั่งไม่รับอุทธรณ์ของโจทก์
โจทก์เห็นว่า ที่ศาลภาษีอากรกลางมีคำสั่งไม่รับอุทธรณ์ของโจทก์เฉพาะอุทธรณ์ข้อ 2.1 นั้น ยังคลาดเคลื่อนต่อข้อเท็จจริงอยู่ เพราะปัญหาว่าวิธีการคำนวณภาษีของเจ้าพนักงานประเมินชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ และความยินยอมของโจทก์ตามบันทึกของเจ้าพนักงานนั้นผูกพันที่โจทก์จะต้องรับผิดหรือไม่เพียงใด เป็นปัญหาข้อกฎหมายโปรดมีคำสั่งให้รับอุทธรณ์ของโจทก์ไว้พิจารณาต่อไป
หมายเหตุ จำเลยแถลงคัดค้าน (อันดับ 55)
โจทก์ฟ้องขอให้พิพากษาว่า การประเมินภาษีเงินได้หัก ณ ที่จ่ายของเจ้าพนักงานประเมินภาษีตามเอกสารท้ายฟ้องหมายเลข 2 และคำชี้ขาดอุทธรณ์ของจำเลยทั้งสามตามเอกสารท้ายฟ้องหมายเลข 3 ไม่ชอบด้วยกฎหมาย ขอให้ศาลมีคำสั่งเพิกถอน
ศาลแพ่งแผนกคดีภาษีอากรพิพากษายกฟ้องของโจทก์
โจทก์อุทธรณ์ ศาลภาษีอากรกลางมีคำสั่งดังกล่าว (อันดับ39,40)
โจทก์จึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 46)
คำสั่ง
พิเคราะห์แล้วเห็นว่า อุทธรณ์โจทก์ข้อ 2.1 ที่ว่า การที่เจ้าพนักงานประเมินทำการประเมินภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาหัก ณที่จ่าย ในอัตราร้อยละ 3 ของเงินได้โดยไม่ทำการประเมินตามหลักเกณฑ์ที่บัญญัติไว้ในประมวลรัษฎากร มาตรา 50(1) เป็นการไม่ชอบด้วยกฎหมายนั้น เป็นปัญหาข้อกฎหมาย จึงให้รับอุทธรณ์ข้อดังกล่าวไว้ดำเนินการต่อไป