แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
พระราชบัญญัติแร่ พ.ศ.2510 มาตรา 108 บัญญัติห้ามมิให้ผู้ใดขนแร่ในที่ใดเว้นแต่จะเข้าข้อยกเว้นตามอนุมาตรา 1ถึง 10 ย่อมใช้บังคับในกรณีที่มีแร่ไว้ในครอบครองโดยไม่ถูกต้องตามกฎหมายด้วย จำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่3ครอบครองแร่โดยไม่ได้รับอนุญาตและขนแร่ดังกล่าวโดยฝ่าฝืนมาตรา 108 จึงต้องมีความผิดฐานมีแร่ไว้ในความครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาตกระทงหนึ่ง และฐานขนแร่โดยไม่ได้รับอนุญาตอีกกระทงหนึ่ง
ศาลพิพากษาลงโทษปรับจำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 3 คนละ 214,844.58 บาทโดยกำหนดว่าหากไม่ชำระค่าปรับให้กักขังตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30 แต่มิได้ระบุชัดแจ้งว่าจะกักขังเกินหนึ่งปีหรือไม่และมีกำหนดเท่าใดเช่นนี้ จะกักขังเกินกำหนดหนึ่งปีไม่ได้ (อ้างฎีกาที่1835/2514)
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทั้งหกกับพวกร่วมกันมีแร่ตะกรันน้ำหนัก ๑,๒๐๔.๑ กิโลกรัมไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต และร่วมกันขนแร่ตะกรันจำนวนดังกล่าวโดยใช้รถยนต์เป็นพาหนะจากเหมืองแร่อำเภอ ห. ไปยังอำเภอ ท. โดยฝ่าฝืนกฎหมายขอให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติแร่ พ.ศ. ๒๕๑๐ มาตรา ๑๐๕, ๑๐๘, ๑๔๘, ๑๕๔ พระราชบัญญัติแร่ (ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๑๘, ๒๑, ๒๗ ริบแร่และรถยนต์ของกลาง
จำเลยที่ ๑ ที่ ๒ และที่ ๓ ให้การรับสารภาพ ศาลมีคำสั่งให้แยกฟ้องจำเลยที่ให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยที่ ๑ ที่ ๒ และที่ ๓ มีความผิดตามพระราชบัญญัติแร่ พ.ศ. ๒๕๑๐ มาตรา ๑๐๕, ๑๐๘, ๑๔๘, ๑๕๔ พระราชบัญญัติแร่ (ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๑๘, ๒๑, ๒๗ เรียงกระทงลงโทษ โดยลดโทษกึ่งหนึ่งแล้วคงปรับคนละ ๒๑๔,๘๔๔.๕๘ บาท ริบแร่และรถยนต์ของกลาง ไม่ชำระค่าปรับจัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๙, ๓๐
จำเลยที่ ๑ ที่ ๒ และที่ ๓ อุทธรณ์ว่า การกระทำของจำเลยเป็นกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท เรียงกระทงลงโทษไม่ได้ และลงโทษปรับรายบุคคลไม่ได้
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้องจำเลยที่ ๑ ที่ ๒ และที่ ๓ ข้อหาฐานขนแร่โดยไม่ได้รับอนุญาตและให้ลงโทษฐานมีแร่ไว้ในครอบครองโดยไม่รับอนุญาต ปรับคนละ ๑๐๗,๔๒๒.๒๙ บาท ไม่ชำระค่าปรับจัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๙, ๓๐ ถ้าจะต้องกักขังแทนค่าปรับให้กักขังคนละ๑ ปี ๒ เดือนนอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ฎีกาขอให้ลงโทษจำเลยฐานขนแร่อันเป็นการฝ่าฝืนพระราชบัญญัติแร่ พ.ศ. ๒๕๑๐ อีกกระทงหนึ่ง
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า พระราชบัญญัติแร่ พ.ศ. ๒๕๑๐ มาตรา ๑๐๘ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติแร่ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๑๖ มาตรา ๓๒ บัญญัติห้ามมิให้ผู้ใดขนแร่ในที่ใดเว้นแต่จะเข้าข้อยกเว้นตาม (๑) ถึง (๑๐) ไม่มีบทบัญญัติพิเศษว่าข้อห้ามตามมาตรา ๑๐๘ ใช้บังคับเฉพาะแร่ที่มีไว้โดยชอบด้วยกฎหมายเท่านั้น จึงใช้บังคับได้ในกรณีที่บุคคลอื่นใดที่มีแร่ไว้ในความครอบครองโดยมิชอบด้วยกฎหมายด้วยจำเลยที่ ๑ ที่ ๒ และที่ ๓ จึงมีความผิดฐานขนแร่ตามพระราชบัญญัติแร่ พ.ศ. ๒๕๑๐ มาตรา ๑๔๘ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติแร่ (ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๒๑อีกกระทงหนึ่ง
ส่วนที่ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษปรับจำเลยที่ ๑ ที่ ๒ และที่ ๓ คนละ ๒๑๔,๘๔๔.๕๘ บาท โดยกำหนดว่าหากจำเลยที่ ๑ ที่ ๒ และที่ ๓ ไม่ชำระค่าปรับให้กักขังแทนตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๙, ๓๐ แต่มิได้ระบุชัดแจ้งว่าจะกักขังเกินหนึ่งปีหรือไม่และมีกำหนดเท่าใด เช่นนี้ จะกักขังเกินกำหนดหนึ่งปีไม่ได้ตามนัยคำพิพากษาฎีกาที่ ๑๘๓๕/๒๕๑๔ พนักงานอัยการ กรมอัยการ โจทก์ นายพิชัยจิระรัตนวิไล กับพวก จำเลย
พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยที่ ๑ ที่ ๒ และที่ ๓ มีความผิดฐานขนแร่ตามพระราชบัญญัติแร่ พ.ศ. ๒๕๑๐ มาตรา ๑๔๘ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติแร่ (ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๒๑ อีกกระทงหนึ่ง ให้ลงโทษจำเลยที่ ๑ ที่ ๒ และที่ ๓ โดยบังคับคดีตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น หากจะกักขังแทนค่าปรับก็ให้กักขังได้คนละไม่เกิน ๑ ปี