แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางออกหมายค้นบ้านของผู้คัดค้าน เนื่องจากพนักงานสอบสวนยื่นคำร้องขอให้ออก โดยอ้างว่าบ้านดังกล่าวมีเครื่องมือแพทย์ที่มีเครื่องหมายการค้าของบริษัท ด. ปลอม ซุกซ่อนอยู่โดยผิดกฎหมาย ซึ่งขั้นตอนการขอออกหมายค้นดังกล่าวเป็นการกระทำเพื่อให้การค้นเป็นไปตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย มาตรา 238 ซึ่งเป็นบทบัญญัติกำหนดมาตราการเพื่อป้องกันมิให้เจ้าพนักงานทำการค้นโดยปราศจากเหตุอันสมควรตามกฎหมาย อันจะกระทบต่อสิทธิเสรีภาพของบุคคล เมื่อศาลออกหมายค้นและเจ้าพนักงานตำรวจไปตรวจค้นเสร็จสิ้นแล้ว แต่ไม่พบของผิดกฎหมาย กระบวนการในการขอออกหมายค้น การออกหมายค้นรวมทั้งอำนาจในการปฏิบัติตามหมายค้นได้เสร็จสิ้นยุติไปแล้ว การที่ผู้คัดค้านยื่นคำร้องขอให้ศาลไต่สวนเพื่อทราบสาเหตุและหลักฐานอันเป็นที่มาในการขอออกหมายค้น ซึ่งศาลได้นัดไต่สวนคำร้องไว้นั้น จึงไม่เกิดประโยชน์แก่การป้องกันการตรวจค้นโดยปราศจากเหตุสมควรตามกฎหมายเพราะการตรวจค้นได้ยุติไปแล้ว ถ้าผู้คัดค้านติดใจสงสัยว่าเจ้าพนักงานตำรวจขอตรวจค้นโดยไม่มีหลักฐานและเป็นการละเมิดสิทธิขั้นพื้นฐานของผู้คัดค้านตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ผู้คัดค้านสามารถเรียกร้องความยุติธรรมจากศาลได้โดยการฟ้องร้องว่ากล่าวเป็นอีกคดีหนึ่ง ซึ่งเป็นการดำเนินการเพื่อเยียวยาความเสียหายได้ ดังนั้น ศาลทรัพย์สินทางปัญญาฯ ย่อมมีอำนาจเปลี่ยนแปลงแก้ไขคำสั่งเดิมเป็นให้งดไต่สวนได้ไม่ถือว่าเป็นการปฏิเสธความยุติธรรม
คำร้องของผู้คัดค้านที่ขอให้ศาลทรัพย์สินทางปัญญาฯ ส่งเรื่องไปให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยนั้น ผู้คัดค้านโต้แย้งว่าศาลจะนำเอามาตรา 69 และมาตรา 94 ถึง 105 แห่ง ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาใช้บังคับในการออกหมายค้นไม่ได้ เพราะขัดต่อรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย มาตรา 238 ทั้งที่รูปคดียังไม่มีปัญหาที่ศาลจะใช้บทบัญญัติมาตรา 69 และมาตรา 94 ถึง 105แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาบังคับแก่คดีแต่ประการใดจึงมิใช่กรณีที่ศาลจะต้องส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย มาตรา 264
ย่อยาว
คดีสืบเนื่องมาจากพนักงานสอบสวน งาน 2 กองกำกับการ 3 กองบังคับการสืบสวนสอบสวนคดีเศรษฐกิจ ยื่นคำร้องว่า มีผู้ปลอมเครื่องหมายการค้าของบริษัทเดนท์สพลาย อินเตอร์เนชั่นแนล อิงค์ จำกัด ในสินค้าจำพวกเครื่องมือแพทย์อันเป็นความผิดตามพระราชบัญญัติเครื่องหมายการค้า พ.ศ. 2534 และจากการสืบสวนน่าเชื่อว่าบ้านเลขที่ 304 ถนนเจริญกรุง แขวงสัมพันธวงศ์ เขตสัมพันธวงศ์กรุงเทพมหานคร มีเครื่องมือแพทย์ที่มีไว้เป็นความผิดดังกล่าวซุกซ่อนอยู่ จึงขอให้ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางออกหมายค้นบ้านเลขที่ข้างต้นให้แก่ร้อยตำรวจเอกธีระ สมบุญนา กับพวก ไปทำการตรวจค้นสถานที่ดังกล่าวศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางพิจารณาแล้ว เห็นว่าคำร้องมีเหตุสมควร จึงให้ออกหมายค้นให้ตามคำร้อง
นายคมกริช ศุภลักษณ์เมธา ผู้คัดค้านยื่นคำร้องว่า ผู้คัดค้านเป็นเจ้าของบ้านเลขที่ 304 ถนนเจริญกรุง เขตสัมพันธวงศ์ กรุงเทพมหานคร ผู้คัดค้านประกอบอาชีพสุจริต ไม่เคยมีสิ่งของหรือเหตุสงสัยว่ามีสิ่งของที่มีไว้เป็นความผิดหรือใช้ในการกระทำผิด ผู้คัดค้านได้รับผลกระทบจากการตรวจค้นของเจ้าพนักงานตำรวจอันเป็นการล่วงละเมิดสิทธิขั้นพื้นฐานที่รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยบัญญัติรับรองไว้ จึงขอให้ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางไต่สวนคำร้องโดยเรียกผู้ร้องขอให้ออกหมายค้นมาแสดงหลักฐานอันเป็นที่มาของการออกหมายค้นรายนี้
ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางมีคำสั่งนัดไต่สวนคำร้อง ต่อมาผู้คัดค้านขอให้ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางหมายเรียกเอกสารต่าง ๆ จากสำนักงานตำรวจแห่งชาติมาประกอบการไต่สวน แต่ศาลยกคำร้อง ผู้คัดค้านอุทธรณ์คำสั่ง และยื่นคำร้องว่า การร้องขอให้ศาลออกหมายค้นก็ดี การใช้ดุลพินิจให้ออกหมายค้นของศาลก็ดีได้ปฏิบัติโดยฝ่าฝืนต่อบทบัญญัติรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย และศาลได้ออกหมายค้นตามบทบัญญัติมาตรา 69 และมาตรา 94 ถึง 105 แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ซึ่งมีปัญหาว่าบทกฎหมายดังกล่าวขัดต่อรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยหรือไม่ จึงขอให้ศาลส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย มาตรา 264 ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางมีคำสั่งว่า การไต่สวนคำร้องต่อไปจะไม่เกิดประโยชน์ จึงให้งดไต่สวน เมื่องดไต่สวนคำร้องแล้วจึงไม่รับอุทธรณ์และไม่รับคำร้องที่ขอให้ส่งเรื่องไปให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย
ผู้คัดค้านอุทธรณ์คำสั่งว่า ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางสั่งยกคำร้องขอออกหมายเรียกพยานเอกสารเป็นการตัดสิทธิของผู้คัดค้านที่จะแสดงพยานหลักฐานให้เห็นถึงความไม่ใส่ใจของผู้ร้องในเรื่องสิทธิและหน้าที่ของพลเมืองที่รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยบัญญัติคุ้มครอง และที่สั่งให้งดการไต่สวนคำร้องทั้ง ๆ ที่ก่อนหน้านี้ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางได้มีคำสั่งให้นัดไต่สวนไว้แล้วย่อมเป็นการปฏิเสธความยุติธรรมที่ผู้คัดค้านจะพึงได้รับตามระบบกฎหมาย นอกจากนี้การที่ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางมีคำสั่งไม่รับคำร้องขอให้ส่งเรื่องไปให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย มาตรา 264 ก็ไม่ถูกต้อง เพราะอำนาจวินิจฉัยว่าจะรับคำร้องนี้หรือไม่เป็นอำนาจของศาลรัฐธรรมนูญ ขอให้ศาลฎีกาสั่งให้ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางไต่สวนคำร้องคัดค้านและส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางสั่งให้ส่งศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศสั่งให้ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางพิจารณาสั่งคำฟ้องอุทธรณ์ในส่วนที่คัดค้านคำสั่งให้งดการไต่สวนและคำสั่งที่ไม่รับคำร้องที่ผู้คัดค้านขอให้ส่งเรื่องไปให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่าจะรับหรือไม่รับอุทธรณ์ให้ชัดเจนส่วนคำฟ้องอุทธรณ์ (ที่ถูกต้องทำเป็นคำร้องอุทธรณ์คำสั่ง) ที่คัดค้านคำสั่งที่ไม่รับอุทธรณ์ลงวันที่ 5 พฤศจิกายน 2541 (เรื่องขอหมายเรียกพยานเอกสารจากสำนักงานตำรวจแห่งชาติ) ผู้คัดค้านไม่ได้ยื่นต่อศาลภายใน 15 วัน นับแต่วันฟังคำสั่ง จึงให้ยกคำร้องส่วนนี้ ต่อมาศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางมีคำสั่งให้รับอุทธรณ์ฉบับลงวันที่ 26 พฤศจิกายน 2541 เฉพาะส่วนที่คัดค้านคำสั่งศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางที่ให้งดการไต่สวนและที่ไม่รับคำร้องที่ขอให้ส่งเรื่องไปให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย
ศาลฎีกาแผนกคดีทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศวินิจฉัยว่า”มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของผู้คัดค้านข้อแรกว่า การที่ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางมีคำสั่งให้นัดไต่สวนคำร้องของผู้คัดค้านไว้แล้วต่อมาภายหลังกลับมีคำสั่งให้งดการไต่สวนคำร้องดังกล่าว เป็นการปฏิเสธความยุติธรรมที่ผู้คัดค้านจะพึงได้รับตามกฎหมายหรือไม่ ปัญหาข้อนี้ เห็นว่า การที่ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางออกหมายค้นบ้านเลขที่ 304 ถนนเจริญกรุงแขวงสัมพันธวงศ์ เขตสัมพันธวงศ์ กรุงเทพมหานคร ซึ่งผู้คัดค้านอ้างว่าเป็นเจ้าของบ้านก็เนื่องจากพนักงานสอบสวน งาน 2 กองกำกับการ 3 กองบังคับการสืบสวนคดีเศรษฐกิจ ยื่นคำร้องขอให้ศาลดังกล่าวออกหมายค้นโดยอ้างว่าบ้านเลขที่ดังกล่าวมีเครื่องมือแพทย์ที่มีเครื่องหมายการค้าของบริษัทเดนท์สพลาย อินเตอร์เนชั่นแนล อิงค์ จำกัด ปลอม ซุกซ่อนอยู่โดยผิดกฎหมายขั้นตอนการขอออกหมายค้นดังกล่าวเป็นการกระทำเพื่อให้การค้นเป็นไปตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย มาตรา 238 ที่บัญญัติว่า ในคดีอาญา การค้นในที่รโหฐานจะกระทำมิได้ เว้นแต่จะมีคำสั่งหรือหมายของศาลหรือมีเหตุให้ค้นได้โดยไม่ต้องมีคำสั่งหรือหมายของศาล ทั้งนี้ ตามที่กฎหมายบัญญัติซึ่งเป็นบทบัญญัติที่กำหนดมาตราการเพื่อป้องกันมิให้เจ้าพนักงานทำการค้นโดยปราศจากเหตุอันสมควรตามกฎหมาย อันจะกระทบต่อสิทธิเสรีภาพของบุคคล คดีนี้ปรากฏว่าศาลออกหมายค้นโดยมีข้อกำหนดไว้ชัดเจนว่า ให้เจ้าพนักงานตำรวจมีอำนาจตรวจค้นบ้านดังกล่าวได้ในวันที่ 13 ตุลาคม 2541 ตั้งแต่เวลา 12 นาฬิกา จนกว่าจะเสร็จสิ้นการตรวจค้นเพื่อค้นหาและตรวจยึดเครื่องมือแพทย์ที่มีเครื่องหมายการค้าปลอมหรือเลียนเครื่องหมายการค้าเท่านั้น และปรากฏว่าเจ้าพนักงานตำรวจไปตรวจค้นตามวันเวลาดังกล่าวในหมายค้นเสร็จสิ้นแล้ว แต่ไม่พบของผิดกฎหมาย ดังนี้กระบวนการในการขอออกหมายค้น การออกหมายค้นรวมทั้งอำนาจในการปฏิบัติตามหมายค้นที่เป็นมาตรการป้องกันการค้นโดยปราศจากเหตุอันสมควรดังกล่าวได้เสร็จสิ้นยุติไปแล้ว การที่ผู้คัดค้านยื่นคำร้องขอให้ศาลไต่สวนเพื่อทราบสาเหตุและหลักฐานอันเป็นที่มาในการขอออกหมายค้น จึงไม่เกิดประโยชน์แก่การป้องกันการตรวจค้นโดยปราศจากเหตุสมควรตามกฎหมาย เพราะการตรวจค้นได้ยุติไปแล้วถ้าผู้คัดค้านติดใจสงสัยว่าเจ้าพนักงานตำรวจขอตรวจค้นโดยไม่มีหลักฐานและเป็นการละเมิดสิทธิขั้นพื้นฐานของผู้คัดค้านตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ผู้คัดค้านสามารถเรียกร้องความยุติธรรมจากศาลได้โดยการฟ้องร้องว่ากล่าวเป็นอีกคดีหนึ่ง ซึ่งเป็นการดำเนินการเพื่อเยียวยาความเสียหายได้ดังนั้น แม้ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางจะได้นัดไต่สวนคำร้องของผู้คัดค้านไว้แล้ว แต่ต่อมาเห็นว่าการไต่สวนคำร้องดังกล่าวจะไม่เกิดประโยชน์แก่การพิจารณาคดีก็ย่อมมีอำนาจเปลี่ยนแปลงแก้ไขคำสั่งเดิมได้ กรณีเช่นนี้ถือไม่ได้ว่าเป็นการปฏิเสธความยุติธรรม
มีปัญหาต้องวินิจฉัยต่อไปว่า ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางมีคำสั่งไม่รับคำร้องที่ผู้คัดค้านร้องขอให้ส่งเรื่องไปให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ เรื่องนี้รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย มาตรา 264บัญญัติว่า ในการที่ศาลจะใช้บทบัญญัติแห่งกฎหมายบังคับแก่คดีได้ ถ้าศาลเห็นเองหรือคู่ความโต้แย้งว่าบทบัญญัติแห่งกฎหมายนั้นต้องด้วยบทบัญญัติมาตรา 6และยังไม่มีคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญในส่วนที่เกี่ยวกับบทบัญญัตินั้น ให้ศาลรอการพิจารณาพิพากษาคดีไว้ชั่วคราว และส่งความเห็นเช่นว่านั้นตามทางการเพื่อศาลรัฐธรรมนูญจะได้พิจารณาวินิจฉัย จากบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยดังกล่าว ศาลฎีกาแผนกคดีทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศเห็นว่า ศาลจะต้องส่งเรื่องไปให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัยก็ต่อเมื่อมีปัญหาว่าบทบัญญัติแห่งกฎหมายที่ศาลจะใช้บังคับแก่คดีขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญนี้ แต่ตามคำร้องของผู้คัดค้านที่ขอให้ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางส่งเรื่องไปให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยนั้น ผู้คัดค้านโต้แย้งว่าศาลจะนำเอามาตรา 69 และมาตรา 94 ถึง 105 แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาใช้บังคับในการออกหมายค้นไม่ได้ เพราะขัดต่อรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย มาตรา 238 ทั้งที่รูปคดียังไม่มีปัญหาที่ศาลจะใช้บทบทบัญญัติมาตรา 69 และมาตรา 94 ถึง 105 แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาดังกล่าวบังคับแก่คดีแต่ประการใด จึงมิใช่กรณีที่ศาลจะต้องส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย มาตรา 264 ตามที่ผู้คัดค้านร้องขอมา ดังนั้นที่ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางมีคำสั่งไม่รับคำร้องที่ผู้คัดค้านขอให้ส่งเรื่องไปให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยจึงชอบด้วยกฎหมายแล้วอุทธรณ์ของผู้คัดค้านฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน