คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 265/2537

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

จำเลยที่ 1 ยื่นคำร้องขออนุญาตยื่นคำให้การ ศาลชั้นต้นนัดไต่สวนคำร้องวันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2531 ในวันนัดจำเลยที่ 1 ไม่มาศาลชั้นต้นมีคำสั่งยกคำร้องจำเลยที่ 1 ยื่นคำร้องลงวันที่ 25กุมภาพันธ์ 2531 อ้างว่าเสมียนทนายจดวันนัดผิดจึงมิได้มาศาลขอให้ทำการไต่สวนคำร้องขออนุญาตยื่นคำให้การของจำเลยที่ 1ศาลชั้นต้นมีคำสั่งยกคำร้อง จำเลยที่ 1 อุทธรณ์คำสั่ง ศาลชั้นต้นสั่งอุทธรณ์ว่าเป็นคำสั่งระหว่างพิจารณา เมื่อศาลชั้นต้นพิพากษาคดีแล้ว จำเลยที่ 1 อุทธรณ์คำพิพากษาและคำสั่งเกี่ยวกับคำร้องขออนุญาตยื่นคำให้การ ดังนี้ เมื่ออุทธรณ์ของจำเลยที่ 1 มิได้กล่าวถึงข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายให้ชัดแจ้งแต่อย่างไรเลยเพียงแต่กล่าวอ้างถึงอุทธรณ์ของจำเลยที่ 1 ฉบับลงวันที่ 25 มีนาคม 2531 ซึ่งศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่าเป็นคำสั่งระหว่างพิจารณาต้องห้ามมิให้อุทธรณ์อุทธรณ์ของจำเลยที่ 1 จึงเป็นอุทธรณ์ที่ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 225 วรรคแรก การที่ศาลอุทธรณ์ไม่รับวินิจฉัยให้จึงชอบแล้ว

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยที่ 1 ไปจดทะเบียนโอนที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์สารบบเลขที่ 280 หมู่ที่ 13 ตำบลกระตีบอำเภอกำแพงแสน จังหวัดนครปฐม สารบบเลขที่ 281 หมู่ที่ 13ตำบลกระตีบ อำเภอกำแพงแสน จังหวัดนครปฐม สารบบเลขที่ 33หมู่ที่ 13 ตำบลกระตีบ อำเภอกำแพงแสน จังหวัดนครปฐมสารบบเลขที่ 45/34 เล่ม 15 หน้า 178 หมู่ที่ 13 ตำบลกระตีบอำเภอกำแพงแสน จังหวัดนครปฐม สารบบเลขที่ 43/34 เล่ม 15 หน้า 178หมู่ที่ 13 ตำบลกระตีบ อำเภอกำแพงแสน จังหวัดนครปฐมสารบบเลขที่ 44/34 เล่ม 15 หน้า 178 หมู่ที่ 13 ตำบลกระตีบอำเภอกำแพงแสน จังหวัดนครปฐมและสารบบเลขที่ 18/6 หมู่ที่ 13ตำบลกระตีบ อำเภอกำแพงแสน จังหวัดนครปฐม คืนแก่โจทก์ ถ้าจำเลยที่ 1 ไม่ไปจัดการจดทะเบียนโอนก็ให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลย ถ้าการโอนไม่สามารถกระทำได้ให้จำเลยที่ 1 ชดใช้เงินแทนพร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันฟ้องเป็นต้นไป จนกว่าจะชำระเสร็จ ให้จำเลยที่ 1 และที่ 3ไปจดทะเบียนเพิกถอนการซื้อขายที่ดินตามโฉนดเลขที่ 10087ตำบลสนามจันทร์ อำเภอเมืองนครปฐม จังหวัดนครปฐม แล้วให้จำเลยที่ 1 จดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์คืนแก่โจทก์ หากจำเลยที่ 1และที่ 3 ไม่ไปก็ให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนา ถ้าการโอนกรรมสิทธิ์ไม่สามารถกระทำได้ ให้จำเลยที่ 1 และที่ 3ร่วมกันชดใช้เงินจำนวน 100,000 บาทพร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันที่ 22 เมษายน 2530 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ ให้จำเลยที่ 1 และที่ 2 ไปจดทะเบียนเพิกถอนการซื้อขายที่ดินตามโฉนดเลขที่ 46105 ตำบลสนามจันทร์ อำเภอเมืองนครปฐมจังหวัดนครปฐม แล้วให้จำเลยที่ 1 จดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์คืนแก่โจทก์ หากจำเลยที่ 1 และที่ 2 ไม่ไปก็ให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนา ถ้าการโอนไม่สามารถกระทำได้ ให้จำเลยที่ 1 และที่ 2ร่วมกันใช้เงิน 200,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันที่ 22 เมษายน 2530 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 1 ไปจดทะเบียนโอนที่ดินคืนแก่โจทก์ ถ้าจำเลยที่ 1 ไม่ไปก็ให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลยที่ 1 ถ้าการโอนไม่สามารถกระทำได้ ให้จำเลยที่ 1ชดใช้เงินตามฟ้องแทนพร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ ให้จำเลยที่ 1 และที่ 3ไปจดทะเบียนเพิกถอนการซื้อขายที่ดินโฉนดเลขที่ 10087ตำบลสนามจันทร์ อำเภอเมืองนครปฐม จังหวัดนครปฐม แล้วให้จำเลยที่ 1 จดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์คืนแก่โจทก์ หากจำเลยที่ 1 และที่ 3 ไม่ไปก็ให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลยที่ 1 และที่ 3 ถ้าการโอนกรรมสิทธิ์ไม่สามารถกระทำได้ให้จำเลยที่ 1และที่ 3 ร่วมกันชดใช้เงิน 100,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จให้จำเลยที่ 1 และที่ 2 ไปจดทะเบียนเพิกถอนการซื้อขายที่ดินตามโฉนดเลขที่ 46105 ตำบลสนามจันทร์ อำเภอเมืองนครปฐมจังหวัดนครปฐม แล้วให้จำเลยที่ 1 จดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์คืนแก่โจทก์ หากจำเลยที่ 1 และที่ 2 ไม่ไปก็ให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลยที่ 1 และที่ 2 ถ้าการโอนไม่สามารถกระทำได้ให้จำเลยที่ 1 และที่ 2 ร่วมกันชดใช้เงินจำนวน 200,000บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยทั้งสามอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้องโจทก์ที่ขอให้เพิกถอนการจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ขายที่ดินแปลงโฉนดเลขที่ 46105, 10087ตำบลสนามจันทร์ อำเภอเมืองนครปฐม จังหวัดนครปฐม ระหว่างจำเลยที่ 1 กับจำเลยที่ 2 และที่ 3 ตามลำดับ แล้วให้จำเลยที่ 1โอนกรรมสิทธิ์คืนแก่โจทก์นั้นเสียนอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยที่ 1 ฎีกาเฉพาะปัญหาที่ศาลอุทธรณ์ไม่รับวินิจฉัยอุทธรณ์คำสั่งของศาลชั้นต้นที่ให้ยกคำร้องขออนุญาตยื่นคำให้การของจำเลยที่ 1
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “มีปัญหาต้องวินิจฉัยว่า ศาลอุทธรณ์ไม่รับวินิจฉัยอุทธรณ์ของจำเลยที่ 1 ชอบหรือไม่ ได้ความว่าจำเลยที่ 1ยื่นคำร้องขออนุญาตยื่นคำให้การ ศาลชั้นต้นนัดไต่สวนคำร้องวันที่5 กุมภาพันธ์ 2531 ครั้นถึงวันนัดจำเลยที่ 1 ไม่มาศาล ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ยกคำร้อง จำเลยที่ 1 ยื่นคำร้องลงวันที่ 25 กุมภาพันธ์2531 ว่าเสมียนทนายจำเลยที่ 1 จดวันนัดผิด จึงไม่ได้มาศาลในวันนัดไต่สวน ขอให้ศาลทำการไต่สวนคำร้องและอนุญาตให้จำเลยที่ 1 ยื่นคำให้การ ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ยกคำร้อง วันที่ 25 มีนาคม2531 จำเลยที่ 1 อุทธรณ์คำสั่งศาลลงวันที่ 25 กุมภาพันธ์ 2531ขอให้กลับคำสั่งศาลชั้นต้นให้ศาลชั้นต้นไต่สวนถึงสาเหตุที่จำเลยที่ 1 ไม่มาศาล ศาลชั้นต้นสั่งว่าเป็นคำสั่งระหว่างพิจารณา ต่อมาเมื่อศาลชั้นต้นพิพากษาคดีแล้ว จำเลยที่ 1 ยื่นอุทธรณ์คัดค้านคำพิพากษา และคำสั่งเกี่ยวกับการขออนุญาตยื่นคำให้การ ศาลอุทธรณ์ไม่รับวินิจฉัยอุทธรณ์ของจำเลยที่ 1 ในส่วนที่เกี่ยวกับคำสั่งไม่อนุญาตยื่นคำให้การพิเคราะห์แล้วจำเลยที่ 1 อุทธรณ์ว่าจำเลยที่ 1 ยื่นคำร้องขออนุญาตยื่นคำให้การขอให้ไต่สวนถึงสาเหตุการไม่มาศาล ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ยกคำร้อง จำเลยที่ 1 ไม่เห็นด้วยและได้ยื่นอุทธรณ์คำสั่งศาลชั้นต้นไว้เมื่อวันที่ 25 มีนาคม 2531อาศัยเหตุผลและข้อกฎหมายตามคำอุทธรณ์คำสั่งศาลฉบับดังกล่าวขอศาลอุทธรณ์ได้โปรดพิจารณาและมีคำสั่งกลับคำสั่งศาลชั้นต้น และให้ดำเนินกระบวนพิจารณาคดีใหม่ด้วย เห็นว่า อุทธรณ์ของจำเลยที่ 1ไม่ได้กล่าวถึงข้อเท็จจริงหรือข้อกฎหมายให้ชัดแจ้งแต่อย่างใดเลยเพียงแต่กล่าวอ้างถึงอุทธรณ์ของจำเลยที่ 1 ฉบับลงวันที่ 25มีนาคม 2531 ซึ่งศาลชั้นต้นสั่งว่าเป็นอุทธรณ์คำสั่งระหว่างพิจารณาต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ ฉะนั้นอุทธรณ์ของจำเลยที่ 1 ข้อนี้จึงเป็นอุทธรณ์ไม่ชอบตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 225วรรคแรก ดังนั้นที่ศาลอุทธรณ์ไม่รับวินิจฉัยให้จึงชอบแล้วฎีกาของจำเลยที่ 1 ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน

Share