คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1159/2511

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ตามประมวลกฎหมายที่ดิน มาตรา 8 วรรคแรกนั้น มีความหมายว่า บรรดาที่หลวงทั้งหลายซึ่งเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1304 ก็ดี หรือที่ดินอันเป็นทรัพย์สินของแผ่นดินตามธรรมดาไม่ไช่ทรัพย์นอกพาณิชย์ และไม่ใช่ทรัพย์ที่จะถือเอาหรือโอนกันไม่ได้เหล่าหนี้ก็ดี ถ้าไม่มีกฎหมายพิเศษได้กำหนดไว้เป็นอย่างอื่นแล้ว ก็เป็นอำนาจหน้าที่ของอธิบดีกรมที่ดินดูแลรักษาและดำเนินการคุ้มครองป้องกัน เว้นแต่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยจะมอบหมายให้ทบวงการเมืองอื่นเป็นผู้ใช้ก็ได้
ประมวลกฎหมายที่ดิน มาตรา 8 วรรคท้าย ซึ่งบัญญัติว่า “บรรดาที่ดินดังกล่าวในวรรคแรกนั้น เมื่อมีเหตุผลอันสมควร รัฐมนตรีมีอำนาจที่จะจัดขึ้นทะเบียนเป็นของทบวงการเมืองได้…” นั้น หมายความว่าถ้ารัฐเห็นสมควรจะให้ทบวงการเมืองใดรับผิดชอบดูแลรักษาและดำเนินการคุ้มครองป้องกันเอง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยก็มีอำนาจที่จะจัดขึ้นทะเบียนเป็นของทบวงการเมืองนั้นๆ ได้
ที่ดินที่ขึ้นทะเบียนเป็นของทบวงการเมืองอื่นไว้แล้วแต่เดิมก่อนประมวลกฎหมายที่ดินใช้บังคับนั้น ไม่มีคำสั่งกำหนดว่าให้ปฏิบัติอย่างไร และในทางปฏิบัติบรรดาที่ดินราชพัสดุที่ขึ้นทะเบียนไว้ต่อกระทรวงการคลัง กระทรวงการคลังก็คงใช้อำนาจปกครองอยู่เช่นเดิม ทั้งนี้เพราะถือได้ว่ารัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยได้จัดขึ้นทะเบียนเป็นของกระทรวงการคลังแล้วโดยอนุโลมตามความหมายแห่งประมวลกฎหมายที่ดินมาตรา 8 วรรคท้าย ซึ่งเป็นบทบัญญัติที่รับรองสิทธิของกระทรวงการคลังว่ายังคงมีอำนาจปกครองที่ดินที่ได้ขึ้นทะเบียนเป็นราชพัสดุไว้แล้วต่อไปตามเดิม อำนาจของกระทรวงการคลังจึงมิได้ถูกยกเลิกเพิกถอนไปโดยประมวลกฎหมายที่ดิน มาตรา 8 วรรคแรก ที่พิพาทได้ขึ้นทะเบียนเป็นที่ราชพัสดุของกระทรวงการคลังแล้ว กระทรวงการคลังโจทก์ที่ 1 จึงมีอำนาจฟ้องได้
การเปลี่ยนชื่อกระทรวงทบงกรมต่างๆ จะทำได้ก็โดยตราขึ้นเป็นกฎหมาย ฉะนั้นจึงเป็นข้อที่ศาลรับรู้ได้เองว่ากระทรวงพระคลังฯ นั้นคือกระทรวงการคลัง
กำแพงเมืองและคูเมืองเป็นทรัพย์สินใช้เพื่อประโยชน์ของแผ่นดินโดยเฉพาะแม้ต่อมากำแพงจะถูกรื้อทำลายลง และคูเมืองตื้นเขินขึ้นก็ตาม แต่ทางราชการก็ได้ถือว่าเป็นที่หลวงหวงห้ามตลอดมา ไม่ยอมให้ราษฎรยึดถือเอาเป็นเจ้าของ แม้จะขอเช่าก็ต้องได้รับอนุญาตก่อน ดังนี้ กำแพงเมืองและคูเมืองจึงยังคงเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินเพราะเป็นที่สงวนไว้เพื่อประโยชน์ร่วมกัน
แม้นายอำเภอจะได้ทำนิติกรรมซื้อขายที่พิพาทให้จำเลย ก็ไม่ทำให้จำเลยได้สิทธิในที่พิพาท เพราะที่พิพาทเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินซึ่งจะโอนแก่กันมิได้ และจะยกอายุความขึ้นต่อสู้แผ่นดินไม่ได้
การได้สิทธิจดทะเบียนการจำยอมตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1312 นั้น จะต้องเป็นการสร้างโรงเรือนรุกล้ำเข้าไปในที่ดินของผู้อื่นโดยสุจริตแต่ที่พิพาทเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน ไม่ใช่ทรัพย์สินของแผ่นดินธรรมดาหรือของเอกชนจะนำมาใช้บังคับในกรณีนี้หาได้ไม่ ดังนั้น แม้จำเลยจะปลูกสร้างโดยสุจริตก็ตาม จำเลยก็ไม่มีสิทธิขอให้จดทะเบียนการจำยอมได้
(ประชุมใหญ่ครั้งที่ 20/2511)

ย่อยาว

คดีนี้โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ที่ ๑ มีหน้าที่ปกครองที่ดินราชพัสดุของหลวงหรือรัฐบาลทั่วราชอาณาจักร โจทก์ที่ ๒ มีหน้าที่ดูแลรักษาและดำเนินการคุ้มครองป้องกันที่ดินอันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน ภายในเขตเทศบาลเมืองสุรินทร์
ที่ราชพัสดุหมายเลขทะเบียนที่หลวงในกระทรวงการคลัง เลขที่ ๑๘๗๔๔ มีอาณาเขตภายในเขตเทศบาลเมืองสุรินทร์ แต่เดิมเป็นคูเมืองซึ่งทางราชการในสมัยก่อนได้ทำขึ้นเพื่อประโยชน์แก่บ้านเมือง ต่อมาเมื่อประมาณ ๔๐ ปีมานี้ ทางราชการในขณะนั้นถือว่าที่ดินในบริเวณเมืองนี้เป็นที่ดินราชพัสดุ สมควรสงวนและหวงห้ามไว้ ได้ประกาศให้ประชาชนทราบแล้ว ที่ดินแปลงนี้จึงเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน และได้ขึ้นทะเบียนเป็นที่หลวงไว้ ตามกระแสพระบรมราชโองการของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๖
เมื่อประมาณ ๑๕ ปีมานี้ จำเลยได้บุกรุกเข้าไปยึดถือครอบครองเพื่อตนแล้วถมดินในที่ดินแปลงนี้ และได้ปลูกอาคารตึกแถวทำเป็นโรงแรมและร้านค้าขายตลอดมาจนทุกวันนี้ ซึ่งจำเลยเองก็รู้อยู่ว่าเดิมเป็นคูเมืองซึ่งทางราชการถือว่าเป็นที่ดินราชพัสดุ ต่อมาเจ้าหน้าที่ของโจทก์ที่ ๑ ได้ยื่นคำขอรังวัดที่ดินแปลงนี้ เพื่อออกหนังสือสำคัญสำหรับที่หลวง จำเลยคัดค้านแล้วอ้างว่าเป็นที่ดินของจำเลย
ขอให้แสดงว่าที่ดินแปลงนี้เป็นที่ดินราชพัสดุ ห้ามจำเลยคัดค้านการออกหนังสือสำคัญ และขับไล่จำเลยกับบริวาร พร้อมทั้งรื้อถอนอาคารตึกแถว สิ่งปลูกสร้างอื่นๆ ออกไปจากที่ดินด้วย
จำเลยให้การว่า โจทก์ที่ ๑ ไม่มีอำนาจฟ้องเพราะตามประมวลกฎหมายที่ดิน พ.ศ.๒๔๙๗ มาตรา ๘ เป็นอำนาจของจังหวัดและเทศบาล แม้จะมีพระบรมราชโองการของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวก็ตาม หากการจดทะเบียนของโจทก์ภายหลังวันประกาศใช้ประมวลกฎหมายที่ดิน พระบรมราชโองการนั้นก็เลิกไปโดยประมวลกฎหมายที่ดิน การจดทะเบียนที่หลวงนั้นไม่มีกฎหมายใดบัญญัติไว้ว่า ทำให้เอกชนเสียสิทธิในที่ดินไปได้
จำเลยซื้อที่พิพาทมาจากผู้มีชื่อ ทำนิติกรรมต่อเจ้าพนักงานต้องตามกฎหมายและมีสิ่งปลูกสร้างอยู่ในที่ดินแล้ว ก่อนจำเลยจะซื้อคณะกรรมการจังหวัดสุรินทร์ เคยกล่าวอ้างว่าที่พิพาทเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินมาครั้งหนึ่งแล้ว จากการสอบสวนและวินิจฉัยของกระทรวงมหาดไทยให้ระงับเรื่องเสีย เพราะไม่มีหลักฐาน แม้ว่าที่ดินจะเป็นของโจทก์ การที่โจทก์ยินยอมให้จำเลยปลูกตึกสามชั้น ๑๕ คูหา ห้องแถวไม้ ๒ ชั้น ๒๐ ห้อง รวมราคา ๒,๐๐๐,๐๐๐ บาท โดยเชื่อว่าที่พิพาทเป็นของจำเลย โจทก์มีหน้าที่ต้องชดใช้ค่าเพิ่มราคาของที่ดินให้แก่จำเลยที่พิพาทจำเลยซื้อราคา ๔๐,๐๐๐ บาท ขณะนี้ราคาถึง ๗๐๐,๐๐๐ บาท
ที่พิพาทเป็นของโจทก์ไม่มีเพราะเคยมีคำพิพากษาและคดีถึงที่สุดว่าเป็นกรรมสิทธิ์ของเอกชนมาแล้ว ขอให้ยกฟ้อง และฟ้องแย้งขอให้พิพากษาว่าที่พิพาทเป็นของจำเลย ห้ามมิให้โจทก์เข้าไปรอนสิทธิหรือถ้าฟังว่าที่พิพาทเป็นของโจทก์ โจทก์ก็มีภาระต้องให้จำเลยได้ใช้ไปจนกว่าสิ่งปลูกสร้างในที่ดินสลายไป (ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๓๑๒) ให้โจทก์ไปจดทะเบียนการจำยอมให้จำเลย หากไม่ไปให้ถือคำพิพากษาเป็นการแสดงเจตนา
โจทก์ทั้งสองให้การแก้ฟ้องแย้งว่าโจทก์ไม่จำต้องรับภารจำยอมตามฟ้องแย้ง
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า จำเลยที่ ๑ ไม่มีอำนาจฟ้อง ส่วนจำเลยที่ ๒ มีอำนาจฟ้องได้แต่เห็นว่าที่พิพาทไม่ใช่คูเมือง จึงไม่ใช่สาธารณสมบัติของแผ่นดิน พิพากษายกฟ้อง
โจทก์ทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า โจทก์ที่ ๑ มีอำนาจฟ้องได้ ส่วนจำเลยที่ ๒ ไม่มีอำนาจและฟังว่าที่พิพาทเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน จึงพิพากษาแก้เป็นว่า ห้ามไม่ให้จำเลยคัดค้านการออกหนังสือสำคัญ ให้ขับไล่จำเลยและบริวารออกไปจากที่พิพาท พร้อมกับให้รื้ออาคารตึกแถวห้องแถวและสิ่งปลูกสร้างออกไปจากที่พิพาท ให้ยกฟ้องแย้งจำเลย ส่วนข้อที่ศาลชึ้นต้นพิพากษายกฟ้องโจทก์ที่ ๒ คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยฎีกา
๑. โจทก์ที่ ๑ ไม่มีอำนาจฟ้อง
๒. ที่พิพาทไม่เข้าลักษณะเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน
๓. แม้จะฟังว่าที่พิพาทเป็นของโจทก์ โจทก์ก็มีภาระโดยกฎหมายต้องให้จำเลยได้ใช้ไปจนกว่าสิ่งปลูกสร้างในที่ดินจะสลายไป ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๓๑๒
ในประเด็นเรื่องอำนาจฟ้องนั้นศาลฎีกาโดยมติที่ประชุมใหญ่เห็นว่า ได้มีพระบรมราชโองการของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๖ ให้รวบรวมที่ดินของหลวงในกระทรวงต่างๆ มาขึ้นทะเบียนราชพัสดุไว้ทางกระทรวงพระคลังฯ เสียทางเดียวเพื่อปกครองให้เป็นหลักฐานสืบไป ฉะนั้นโดยอาศัยอำนาจตามพระบรมราชโองการดังกล่าวแล้ว กระทรวงพระคลังฯ ซึ่งต่อมาก็คือกระทรวงการคลังนั่นเองเป็นผู้มีอำนาจดูแลรักษาที่หลวงที่ขึ้นทะเบียนเป็นที่ราชพัสดุทั้งหมดไม่ว่าจะเป็นของกระทรวงใดๆ ตามประมวลกฎหมายที่ดินมาตรา ๘ วรรคแรกนั้น หมายความว่าบรรดาหลวงทั้งหลายซึ่งเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๓๐๔ ก็ดี หรือที่ดินอันเป็นทรัพย์สินของแผ่นดินตามธรรมดาไม่ใช่ทรัพย์นอกพาณิชย์ และไม่ใช่ทรัพย์ที่จะถือเอาหรือโอนกันไม่ได้เหล่านี้ก็ดี ถ้าไม่มีกฎหมายพิเศษได้กำหนดไว้เป็นอย่างอื่นแล้วก็เป็นอำนาจหน้าที่ของอธิบดีกรมที่ดินดูแลรักษาและดำเนินการคุ้มครองป้องกัน เว้นแต่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยจะมอบหมายให้ทบวงการเมืองอื่นเป็นผู้ใช้ก็ได้ ดังนั้นในวรรคท้ายของมาตรา ๘ นั้นเองจึงได้บัญญัติมีความหมายว่าบรรดาที่ดินดังกล่าวในวรรคแรก ถ้ารัฐเห็นสมควรจะให้ทบวงการเมืองใดรับผิดชอบดูแลรักษาและคุ้มครองป้องกันเอง รัฐมนตรีกระทรวงมหาดไทยก็มีอำนาจที่จะจัดขึ้นทะเบียนเป็นของทบวงการเมืองนั้นๆ ได้ เมื่อประมวลกฎหมายที่ดินใช้บังคับแล้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยได้วางระเบียบปฏิบัติสำหรับการจัดที่ดินที่เป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินเพื่อขึ้นทะเบี่ยนเป็นของทบวงการเมืองอื่นตามความในมาตรา ๘ แห่งประมวลกฎหมายที่ดินมีใจความว่า ถ้ามีการขอที่ดินอันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินเพื่อขึ้นทะเบียนเป็นของทบวงการเมืองใด ซึ่งกระทรวงมหาดไทยสั่งมาก็ดี หรือทบวงการเมืองอื่นติดต่อมาก็ดี หรือเป็นเรื่องที่ทางจังหวัดอำเภอพิจารณาเห็นสมควรก็ดีให้นายอำเภอดำเนินการสอบสวน เมื่อรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยเห็นสมควรจะได้จัดขึ้นทะเบียนไว้ในนามของส่วนราชการนั้นๆ ส่วนที่ดินที่ขึ้นทะเบียนเป็นของทบวงการเมืองอื่นไว้แล้วแต่เดิมก่อนประมวลกฎหมายที่ดินใช้บังคับ ไม่มีคำสั่งกำหนดว่าจะให้ปฏิบัติอย่างไร และในทางปฏิบัติบรรดาที่ดินราชพัสดุที่ขึ้นทะเบียนไว้ต่อกระทรวงการคลัง กระทรวงมหาดไทยจัดขึ้นทะเบียนเป็นของกระทรวงการคลังตามความหมายแพ่งมาตรา ๘ วรรคท้ายของประมวลกฎหมายที่ดินแล้ว โดยอนุโลมอำนาจของกระทรวงการคลังจึงมิได้ถูกยกเลิกเพิกถอนไปโดยประมวลกฎหมายที่ดินมาตรา ๘ วรรคแรก แต่ตรงกันข้ามประมวลกฎหมายที่ดินมาตรา ๘ วรรคท้ายกลับเป็นบทบัญญัติที่รับรองสิทธิของกระทรวงการคลังว่ายังคงมีอำนาจปกครองที่ดินที่ได้ขึ้นทะเบียนเป็นที่ราชพัสดุไว้แล้วต่อไปตามเดิม สำหรับที่พิพาทได้ขึ้นทะเบียนเป็นที่ราชพัสดุของกระทรวงการคลัง กระทรวงการคลังโจทก์ที่ ๑ จึงมีอำนาจฟ้องได้
ที่จำเลยอ้างว่าโจทก์ที่ ๑ ไม่มีอำนาจและหน้าที่เกี่ยวกับสาธารณสมบัติของแผ่นดินตามพระราชบัญญัติปรับปรุงกระทรวงทบวงกรม พ.ศ. ๒๕๐๖ มาตรา ๙ นั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย เพราะพระราชบัญญัติดังกล่าวเป็นกฎหมายทั่วไปที่กำหนดอำนาจและหน้าที่บริหารราชการแผ่นดินของกระทรวงทบวงการเมืองต่างๆ ย่อมไม่ลบล้างอำนาจของกระทรวงการคลังโจทก์ที่ ๑ ซึ่งได้ตามประมวลกฎหมายที่ดินมาตรา ๘ วรรคท้าย อันเป็นกฎหมายพิเศษ ส่วนที่จำเลยคัดค้านว่า ศาลไม่มีอำนาจพิจารณาขยายชื่อกระทรวงพระคลังฯมาเป็นกระทรวงการคลัง เพราะเป็นการวินิจฉัยนอกฟ้องและคำให้การ ศาลฎีกาเห็นว่าการเปลี่ยนชื่อกระทรวงทบวงกรมต่างๆ จะกระทำได้ก็โดยตราขึ้นเป็นกฎหมาย จึงเป็นข้อที่ศาลจะรับรู้เองว่ากระทรวงพระคลังตามพระบรมราชโองการนั้น คือกระทรวงการคลังโจทก์ที่ ๑
สำหรับประเด็นที่ว่า ที่พิพาทเป็นที่สาธารณสมบัติของแผ่นดินหรือไม่นั้น ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่า กำแพงเมืองชั้นนอกมีคูเมืองสองชั้น คือมีทั้งคูชั้นนอกและคูชั้นใน ในที่พิพาทเป็นคูเมืองชั้นในของกำแพงเมืองชั้นนอก กำแพงเมืองและคูเมืองเป็นที่ซึ่งได้ทำขึ้นเพื่อประโยชน์แก่บ้านเมือง ต่อมาคูเมืองได้ตื้นเขิน ทางราชการยอมให้ราษฎรทำนาแซงได้เป็นบางปีที่มีการอดอยาก แต่ไม่อนุญาตให้เข้ายึดถือ ในปี พ.ศ. ๒๔๖๙ ผู้ว่าราชการจังหวัดสุรินทร์ได้มีหนังสือถึงนายอำเภอเมือง ให้เรียกราษฎรที่ยึดถืออยู่ในเขตคูเมืองทั้งสองฟากทำสัญญาเช่า ถ้าขัดขืนให้ไต่สวนส่งอัยการต่อไป ต่อมา พ.ศ. ๒๔๗๐ สมุหเทศาภิบาลมณฑลนครราชสีมาได้มีคำสั่งแจ้งไปยังผู้ว่าราชการจังหวัดสุรินทร์เรื่องที่ดินราชพัสดุของหลวงซึ่งอยู่ในบริเวณสันกำแพงและคูเมืองในท้องที่อำเภอเมืองสุรินทร์ว่า ได้มีพวกพ่อค้าและราษฎรพากันปลูกบ้านเรือนโรงทำการค้าขายในที่ดินเหล่านี้มากขึ้น เห็นสมควรสงวนและหวงห้ามที่ดินในเขตดังกล่าวนี้ไว้เพื่อประโยชน์ในราชการภายหน้า ฉะนั้น กาลต่อไปเมื่อมีผู้ใดจะขอเช่าที่ดินสันกำแพงเมืองก็ดีหรือคูเมืองก็ดีหรือที่ดินด้านใดอยู่ใกล้เขตกำแพงเมืองก็ตาม ต้องบอกชี้แจงแสดงเหตุผลให้มณฑลพิจารณาก่อนทุกๆ ราย และะเมื่อได้รับคำสั่งแล้วจึงจะจัดการได้ต่อไป ศาลฎีกาโดยมติที่ประชุมใหญ่เห็นว่ากำแพงเมืองและคูเมืองสุรินทร์เป็นทรัพย์สินใช้เพื่อประโยชน์ของแผ่นดินโดยเฉพาะ เป็นสาธารณประโยชน์ของแผ่นดินมาแต่โบราณกาล แม้ต่อมากำแพงเมืองจะถูกรื้อทำลายลง และคูเมืองตื้นเขินขึ้น แต่ทางราชการก็ได้ถือว่าเป็นที่หลวงหวงห้ามตลอดเวลา ราษฎรจะเข้ายึดถือเอาเป็นเจ้าของไม่ได้ ดังนี้ กำแพงเมืองและคูเมืองสุรินทร์จึงยังคงเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน เพราะเป็นที่สงวนไว้เพื่อประโยชน์ร่วมกันตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๓๐๔ และแม้จะมีคำพิพากษา คดีถึงที่สุดรับรองว่าที่พิพาทเป็นกรรมสิทธิ์ของเอกชน คำพิพากษานั้นก็ใช้ยันโจทก์ซึ่งเป็นบุคคลภายนอกไม่ได้ เพราะโจทก์พิสูจน์ได้ว่าที่พิพาทเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน ซึ่งอยู่ในอำนาจปกครองดูแลของโจทก์ และการที่อำเภอได้ทำนิติกรรมซื้อขายที่พิพาทจากพระชัยปริญญาให้จำเลย นิติกรรมนั้นก็ใช้ไม่ได้ เพราะสาธารณสมบัติของแผ่นดินจะโอนแก่กันมิได้ และจำยกอายุความขึ้นต่อสู้แผ่นดินไม่ได้ ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา ๑๓๐๕, ๑๓๐๖
ปัญหาข้อสุดท้ายที่ว่า โจทก์มีภาระต้องให้จำเลยใช้ที่พิพาทต่อไปจนกว่าสิ่งปลูกสร้างจะสลายไปตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๓๑๒ หรือไม่ ศาลฎีกาเห็นว่าการได้สิทธิจดทะเบียนภารจำยอมตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๓๑๒ นั้น จะต้องเป็นการสร้างโรงเรือนรุกล้ำเข้าไปในที่ดินของผู้อื่นโดยสุจริต แต่ที่พิพาทเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน ไม่ใช่ทรัพย์สินของแผ่นดินธรรมดา หรือของเอกชน กรณีจึงไม่ต้องด้วยบทกฎหมายดังกล่าวจะนำมาใช้บังคับในกรณีนี้ไม่ได้ แม้จะฟังว่าจำเลยปลูกสร้างโดยสุจริต จำเลยก็ไม่มีสิทธิขอให้จดทะเบียนการจำยอมได้
พิพากษายืน

Share