คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 826/2511

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

สัญญาซื้อขายซึ่งมีข้อความว่า ผู้ขายต้องส่งมอบน้ำตาลทรายแก่ผู้ซื้อภายใน 15 วัน หลังจากโรงงานของผู้ขายเปิดดำเนินการหีบอ้อยประจำปี และทั้งนี้ไม่ช้ากว่าวันที่ 31 ธันวาคม 2507 นั้น มีความหมายว่าผู้ขายต้องส่งมอบน้ำตาลทรายแก่ผู้ซื้อให้ครบถ้วนภายใน 15 วันนับแต่วันที่โรงงานของผู้ขายเปิดดำเนินการหีบอ้อยประจำปี หากเปิดดำเนินการล่าช้า แม้นับถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2507จะมีเวลาดำเนินการไม่ครบ 15 วัน ผู้ขายก็จะต้องส่งมอบภายในวันที่ 31 ธันวาคม 2507
เบี้ยปรับที่สูงเกินส่วนนั้น ศาลมีอำนาจลดลงเป็นจำนวนที่พอสมควร โดยพิเคราะห์ถึงทางได้เสียของเจ้าหนี้
คำฟ้องของโจทก์ซึ่งบรรยายว่า จำเลยส่งมอบน้ำตาลทราย 200 กระสอบแก่โจทก์เกินกำหนดระยะเวลาตามสัญญา จำเลยมีหน้าที่ต้องรับผิดใช้เบี้ยปรับ โจทก์และทนายโจทก์ได้แจ้งให้จำเลยปฏิบัติตามสัญญาแล้ว ทั้งโจทก์ยังได้ส่งสำเนาสัญญาซื้อขายและสำเนาหนังสือทนายโจทก์มาท้ายฟ้องด้วยย่อมแสดงอยู่ในตัวว่าโจทก์ได้บอกสงวนสิทธิในการที่จะเรียกเบี้ยปรับตามสัญญาจากจำเลย ไม่จำต้องกล่าวในคำฟ้อง

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่าจำเลยทำสัญญาขายน้ำตาลทรายให้โจทก์ แต่ผิดสัญญาส่งมอบน้ำตาลทรายให้ไม่ครบถ้วนภายในกำหนด โดยส่งมอบเมื่อพ้นกำหนดแล้ว ๒๐๐ กระสอบ ซึ่งตามสัญญากำหนดไว้ให้ปรับกระสอบละ๑๐๐ บาท รวมเป็นเงิน ๒๐,๐๐๐ บาท ขอให้บังคับ
จำเลยต่อสู้ว่า จำเลยส่งมอบไม่เกินกำหนด จำเลยได้ส่งมอบเสร็จสิ้นแล้ว ฟ้องโจทก์ไม่แสดงว่ามีความเสียหายอย่างใดโจทก์ไม่มีสิทธิฟ้องปรับค่าเสียหาย
ก่อนชี้สองสถาน จำเลยยื่นคำร้องขอให้ชี้ขาดเบื้องต้นว่า๑. ฟ้องโจทก์ไม่ได้กล่าวไว้ว่าขณะโจทก์รับมอบน้ำตาลทราย ๒๐๐กระสอบสุดท้าย โจทก์ได้บอกสงวนสิทธิในการเรียกเบี้ยปรับ โจทก์จึงเรียกเบี้ยปรับไม่ได้ ๒. สัญญาซื้อขายระบุการส่งมอบไว้ว่า “ทั้งนี้ไม่ช้ากว่าปลายเดือนธันวาคม ๒๕๐๗” แต่โจทก์ว่าต้องส่งมอบภายในวันที่ ๑๖ ธันวาคม ๒๕๐๗ หากแปลดังจำเลยว่า โจทก์ก็ไม่มีอำนาจฟ้อง
ศาลชั้นต้นสั่งคำร้องว่า เป็นเรื่องที่อาศัยข้อเท็จจริงอยู่ด้วยจะได้วินิจฉัยในคำพิพากษา
เมื่อพิจารณาเสร็จ ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า โจทก์บรรยายฟ้องครบถ้วนแล้ว ไม่จำต้องกล่าวถึงเรื่องการบอกกล่าวสงวนสิทธิที่จะเรียกเบี้ยปรับ จำเลยส่งมอบน้ำตาลทรายต้นกำหนดตามสัญญาพิพากษาให้จำเลยใช้ค่าเสียหายตามฟ้อง
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ฎีกาจำเลยข้อแรกที่ว่า ที่ศาลล่างวินิจฉัยว่าข้อบอกกล่าวสงวนสิทธิที่จะเรียกเบี้ยปรับ ไม่จำเป็นต้องกล่าวในคำฟ้อง เป็นการไม่ถูกต้องนั้น ศาลฎีกาเห็นว่า คำฟ้องของโจทก์ได้บรรยายความไว้แล้วว่า ตามสัญญาซื้อขาย จำเลยจะต้องส่งมอบน้ำตาลทรายให้แก่โจทก์ทั้งหมดภายในวันที่ ๑๖ ธันวาคม ๒๕๐๗แต่จำเลยส่งมอบเพียง ๑,๘๐๐ กระสอบ ส่วนอีก ๒๐๐ กระสอบ จำเลยได้ส่งมอบเมื่อวันที่ ๒๒ ธันวาคม ๒๕๐๗ อันเป็นการเกินกำหนดระยะเวลาตามสัญญา ซึ่งจำเลยมีหน้าที่จะต้องรับผิดใช้ค่าปรับเป็นค่าเสียหายแก่โจทก์กระสอบละ ๑๐๐ บาท รวมเป็นเงิน ๒๐,๐๐๐ บาท โจทก์และทนายโจทก์ได้แจ้งให้จำเลยทราบแล้วขอให้จำเลยปฏิบัติตามสัญญา ทั้งโจทก์ยังได้ส่งสำเนาหนังสือสัญญาซื้อขายและสำเนาหนังสือทนายโจทก์มาท้ายฟ้องด้วย ตามหลักฐานและคำฟ้องดังนี้ ย่อมแสดงอยู่ในตัวแล้วว่า โจทก์ได้บอกสงวนสิทธิในการที่จะเรียกเบี้ยปรับตามสัญญาจากจำเลย และศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงต่อไปว่าโจทก์ได้บอกสงวนสิทธิที่จะเรียกเบี้ยปรับไว้แล้ว
ที่จำเลยฎีกาว่า ศาลล่างแปลความหมายแห่งสัญญาซื้อขายยังไม่ถูกต้องนั้น ศาลฎีกาเห็นว่า ตามสัญญาซื้อขายข้อ ๓ มีความว่า ผู้ขายต้องส่งมอบน้ำตาลทรายขาวแก่ผู้ซื้อภายใน ๑๕ วันหลังจากโรงงานของผู้ขายเริ่มเปิดดำเนินการหีบอ้อยประจำปี และทั้งนี้ไม่ช้ากว่าปลายเดือนธันวาคม ๒๕๐๗ (๓๑ ธันวาคม ๒๕๐๗) ซึ่งข้อความดังกล่าวนี้ศาลฎีกาเห็นพ้องกับศาลล่างที่แปลว่า เป็นข้อความที่มีข้อตกลงให้จำเลยต้องส่งมอบน้ำตาลทรายจำนวน ๒,๐๐๐ กระสอบแก่โจทก์ครบถ้วนภายใน ๑๕ วัน นับแต่วันที่โรงงานของจำเลยเปิดทำการหีบอ้อยประจำปีส่วนข้อความที่ว่า “และทั้งนี้ไม่ช้ากว่าปลายเดือนธันวาคม ๒๕๐๗(๓๑ ธันวาคม ๒๕๐๗)” นั้น หมายถึงว่า หากจำเลยเปิดทำการหีบอ้อยล่าช้ากว่าวันที่ ๑ ธันวาคม ๒๕๐๗ แม้จะถึงวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๐๗ไม่ครบ ๑๕ วัน จำเลยก็จะต้องส่งมอบน้ำตาลทรายแก่ โจทก์ให้ครบภายในวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๐๗ คดีนี้ จำเลยรับว่า ได้เปิดหีบอ้อยประจำปี ในวันที่ ๑ ธันวาคม ๒๕๐๗ จำเลยจึงต้องส่งมอบน้ำตาลทรายภายใน๑๕ วัน คือภายในวันที่ ๑๖ ธันวาคม ๒๕๐๗
ที่จำเลยฎีกาว่า ศาลล่างให้ปรับจำเลยกระสอบละ ๑๐๐ บาทไม่ถูกต้องนั้น ศาลฎีกาเห็นว่า จำเลยได้นำน้ำตาลทรายมาส่งมอบในวันที่ ๑๗ ธันวาคม ๒๕๐๗ แต่โจทก์ไม่ยอมรับ เพิ่งมายอมรับเมื่อวันที่๒๒ โจทก์ไม่ได้นำสืบว่า การที่จำเลยส่งมอบล่าช้า โจทก์เสียหายอย่างไร ศาลฎีกาพิเคราะห์ถึงทางได้เสียของโจทก์แล้ว เห็นควรลดเบี้ยปรับเหลือกระสอบละ ๕๐ บาท
พิพากษาแก้ ให้จำเลยใช้เบี้ยปรับ ๑๐,๐๐๐ บาท

Share