คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 32/2510

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ผู้ตายเรียนหนังสืออยู่ที่วัดละหารซึ่งจำเลยเป็นครูอยู่ทั้งเป็นเด็กหญิงและเป็นหลานของจำเลย มีบ้านอยู่ติดกับบ้านของจำเลย เมื่อจำเลยขึงลวดเส้นเดียวและเล็กไว้ในบริเวณบ้านและปล่อยกระแสไฟฟ้าให้แล่นไปตามลวดนั้นเมื่อเวลาจวนสว่างผู้ตายเข้าไปในเขตรั้วบ้านจำเลยและมาถูกสายไฟฟ้าของจำเลยเข้าถึงแก่ความตาย ดังนี้ จึงถือไม่ได้ว่าการกระทำของจำเลยดังกล่าวเป็นการป้องกันสิทธิของตนโดยชอบด้วยกฎหมายจำเลยจึงมีความผิดฐานทำให้คนตายโดยไม่มีเจตนา

ย่อยาว

คดีนี้ โจทก์ฟ้องและแก้ฟ้องว่าจำเลยมีเจตนาจะทำร้ายผู้อื่นให้ได้รับบาดเจ็บถึงตาย ได้ขึงลวดไว้รอบ ๆ บ้าน แล้วปล่อยกระแสไฟฟ้าซึ่งมีกำลังดัน 220 โวลท์ ต่อมาเด็กหญิงพยุงได้ไปกระทบถูกลวดแล้วกระแสไฟได้แล่นเข้าสู่ร่างกาย เป็นเหตุให้เด็กหญิงพยุง ได้ถึงแก่ความตาย ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288 และริบของกลาง

จำเลยให้การปฏิเสธ

ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่าการกระทำของจำเลยเป็นความผิดฐานทำให้คนตายโดยไม่เจตนา พิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 290 คงจำคุกจำเลยไว้ 4 ปี ของกลางริบ

จำเลยอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นรับฎีกาเฉพาะปัญหาข้อกฎหมายที่ว่าการกระทำของจำเลยเป็นการป้องกันหรือไม่

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ต้องฟังข้อเท็จจริงตามที่ศาลอุทธรณ์ได้วินิจฉัยมาแล้วจากพยานหลักฐานในสำนวนและในกรณีเช่นคดีนี้ศาลจะต้องพิจารณาเสมือนว่า ถ้าจำเลยอยู่ในที่เกิดเหตุในขณะเกิดเหตุจำเลยจะมีสิทธิกระทำร้ายเพื่อป้องกันสิทธิของตนหรือไม่ในคดีนี้ผู้ตายเรียนหนังสืออยู่ที่วัดละหารซึ่งจำเลยเป็นครูอยู่ ผู้ตายเป็นเด็กหญิงและเป็นหลานของจำเลย และมีบ้านอยู่ติดกับบ้านของจำเลย เวลาจวนสว่างผู้ตายได้เข้าไปในเขตรั้วของจำเลย จำเลยย่อมไม่มีสิทธิทำร้ายผู้ตาย เมื่อจำเลยขึงลวดไว้ในบริเวณบ้านจำเลยและปล่อยกระแสไฟฟ้าให้แล่นไปตามลวดนั้น และผู้ตายมาถูกสายไฟฟ้าของจำเลยเข้าถึงแก่ความตาย จึงถือไม่ได้ว่าการกระทำของจำเลยดังกล่าวเป็นการป้องกันสิทธิของตนโดยชอบด้วยกฎหมาย

พิพากษายืน

Share