แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
คู่ความตกลงท้ากันให้ถือเอาผลของคำพิพากษาคดีอาญาเป็นข้อวินิจฉัยว่าพินัยกรรมฉบับพิพาทปลอมหรือไม่ มีความหมายว่าคู่ความประสงค์ให้ถือเอาผลของคำพิพากษาที่ถึงที่สุดเป็นข้อแพ้ชนะในประเด็น ดังกล่าวดังนี้ ศาลต้องรอฟังผลของคำพิพากษาคดีอาญาที่ถึงที่สุดเป็น หลักในการวินิจฉัยคดีตามที่คู่ความท้ากัน.
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ทั้งสองเป็นทายาทผู้มีสิทธิรับมรดกของนายชุม นายชุมมีทรัพย์สินที่เป็นมรดก คือที่ดินมีหนังสือรับรองการทำประโยชน์ 4 แปลง กับทรัพย์มรดกอื่นอีก 5 รายการ รวมทรัพย์สินทั้งหมดเป็นเงิน 201,000 บาท นายชุมถึงแก่กรรมโดยไม่ได้ทำพินัยกรรมยกทรัพย์สินดังกล่าวให้แก่ผู้ใด จำเลยได้สมคบกับนางปราณีจุลิวรรณลีย์ทำปลอมพินัยกรรมของนายชุมขึ้นทั้งฉบับต่อมาจำเลยนำพินัยกรรมปลอมนั้นไปโอนที่ดินทั้งสี่แปลงดังกล่าวเป็นของจำเลยจำเลยยังได้รื้อถอนเรือนพักอาศัยของนายชุมไปทั้งหลัง ส่วนทรัพย์อีก 4 รายการจำเลยได้ยึดเอาเป็นของจำเลย โจทก์ทั้งสองฟ้องจำเลยเป็นคดีอาญาในข้อหาว่าปลอมและใช้เอกสารปลอมที่ศาลแขวงสงขลา คดีอยู่ในระหว่างการพิจารณาของศาล โจทก์ทั้งสองได้ติดตามทวงถามให้จำเลยส่งมอบที่ดินและทรัพย์สินอื่นของนายชุมทั้งหมดคืนแก่โจทก์ทั้งสอง จำเลยยอมโอนที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์เลขที่ 4515 ให้แก่โจทก์ที่ 1 ส่วนทรัพย์สินที่เหลือจำเลยไม่ยอมโอนคืนแก่โจทก์ทั้งสอง ขอให้พิพากษาว่าพินัยกรรมที่จำเลยทำปลอมขึ้นเป็นโมฆะ ไม่มีผลสมบูรณ์ตามกฎหมาย ให้จำเลยจดทะเบียนโอนที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์เลขที่ 2758, 3756, 4556 ซึ่งตั้งอยู่ตำบลบ้านนา อำเภอจะนะ จังหวัดสงขลา แก่โจทก์ทั้งสองหากจำเลยไม่ยินยอมให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลย ให้จำเลยใช้ราคาบ้านพักเป็นเงิน 70,000 บาท ให้ส่งมอบเงินฝากที่จำเลยเบิกจากธนาคารจำนวน 30,000 บาทเงินสดติดตัวของนายชุมจำนวน 17,000 บาท อุปกรณ์ทำยางแผ่นหรือชำระราคาเป็นเงิน 3,000 บาท และข้าวเปลือก 5 เกวียน หรือชำระราคาเป็นเงิน 12,000 บาท คืนแก่โจทก์ทั้งสอง ให้จำเลยชดใช้ค่าเสียหายเป็นเงิน 94,400 บาท และให้ชดใช้ค่าเสียหายเป็นรายเดือนอีกเดือนละ 3,000 บาท นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจำเลยจะโอนที่ดินและชำระหนี้อื่นเสร็จสิ้น
จำเลยให้การและแก้ไขคำให้การว่า นายชุม คงเพชร มีที่ดิน4 แปลงตามฟ้องจริงแต่เงินสดที่นายชุมฝากไว้ที่ธนาคารมีเพียง2,500 บาท โรงเรือนที่พักอาศัยหลังคารั่วและไม้ผุเกือบหมดจนพักอาศัยอยู่ไม่ได้ ข้าวเปลือกมีเพียง 270 เสียง ราคา 810 บาท อุปกรณ์ทำยางแผ่นชำรุดแล้ว หากขายจะได้ราคาไม่เกิน 700 บาท นายชุมมีเงินสดติดตัวอยู่เพียง 600 บาท จำเลยและนางปราณี จุลิวรรณลีย์ไม่ได้ปลอมพินัยกรรมของนายชุม เงินสดที่ฝากไว้ที่ธนาคารนั้นจำเลยได้ใช้จ่ายในการจัดงานศพของนายชุมไปหมดแล้ว ค่าเสียหายถ้าหากมีรวมไม่เกิน 13,704 บาท นายชุมถึงแก่กรรมเมื่อวันที่9 กันยายน 2523 โจทก์ทั้งสองได้รู้และควรรู้เหตุและพฤติการณ์ในการทำพินัยกรรมตั้งแต่เดือนกันยายน 2523 ฟ้องโจทก์จึงขาดอายุความนอกจากนี้โจทก์ที่ 1 ยังได้ทำหนังสือขอสละมรดกไว้แล้ว จึงไม่มีอำนาจฟ้อง ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโจทก์
โจทก์ทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 วินิจฉัยว่า โจทก์จำเลยตกลงให้ถือเอาผลของคำพิพากษาศาลแขวงสงขลาที่โจทก์ฟ้องจำเลยข้อหาปลอมและใช้พินัยกรรมปลอมหากศาลฟังว่าจำเลยปลอมพินัยกรรม ก็ให้ถือว่าพินัยกรรมฉบับพิพาทเป็นพินัยกรรมปลอม แต่ถ้าศาลฟังว่าจำเลยมิได้ปลอมพินัยกรรมก็ให้ถือว่าพินัยกรรมฉบับพิพาทไม่ใช่พินัยกรรมปลอม เมื่อศาลแขวงสงขลาวินิจฉัยว่า พยานหลักฐานที่โจทก์นำสืบมายังไม่อาจฟังได้ว่าพินัยกรรมมีการปลอมขึ้นและจำเลยเป็นผู้ใช้เอกสารปลอม ข้อเท็จจริงจึงต้องเป็นไปตามคำท้า ต้องถือตามคดีอาญาของศาลแขวงสงขลาที่วินิจฉัยว่า เป็นพินัยกรรมที่แท้จริงของนายชุมเจ้ามรดก คดีโจทก์ไม่ขาดอายุความ และวินิจฉัยว่าจำเลยครอบครองทรัพย์มรดกนอกพินัยกรรมไว้ด้วย พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยใช้ราคาเรือนพักอาศัยของผู้ตายแก่โจทก์เป็นเงิน 70,000 บาท คืนเงินฝากธนาคารของผู้ตายแก่โจทก์จำนวน 2,500 บาท คืนเงินสดแก่โจทก์จำนวน 600 บาทคืนอุปกรณ์สำหรับทำยางแผ่น 1 ชุดแก่โจทก์ หากคืนไม่ได้ให้ชำระราคา3,000 บาท และคืนข้าวเปลือก 5 เกวียน ของผู้ตายแก่โจทก์ หากคืนไม่ได้ให้ชำระราคา 12,000 บาท นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาของศาลชั้นต้น
โจทก์ทั้งสองและจำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “คดีฟังได้ว่า ในชั้นพิจารณาศาลชั้นต้นกำหนดประเด็นพิพาทหลายประเด็น และมีประเด็นข้อพิพาทข้อหนึ่งว่าจำเลยปลอมพินัยกรรมของนายชุม คงเพชร ตามฟ้องหรือไม่ ต่อมาระหว่างสืบพยานโจทก์ คู่ความแถลงต่อศาลชั้นต้นว่าประเด็นข้อพิพาทที่ว่าจำเลยปลอมพินัยกรรมนายชุม คงเพชรตามฟ้องหรือไม่คู่ความไม่ติดใจสืบพยานอีกต่อไป แต่ขอให้ถือผลตามคำพิพากษาในคดีอาญาที่โจทก์คดีนี้ฟ้องจำเลยในข้อหาปลอมและใช้พินัยกรรมปลอมตามคดีหมายเลขดำที่ 1188/2527 (ที่ถูกคือ 2528) ของศาลแขวงสงขลาหากผลคดีอาญาปรากฏว่าจำเลยปลอมพินัยกรรมดังกล่าวจริงก็ให้ถือว่าพินัยกรรมฉบับดังกล่าวเป็นพินัยกรรมปลอม หากผลคำพิพากษาปรากฏว่าจำเลยมิได้ปลอมพินัยกรรม ก็ให้ถือว่าพินัยกรรมฉบับดังกล่าวมิใช่พินัยกรรมปลอม แต่จะมีผลตามกฎหมายแพ่งหรือไม่ ก็ให้ศาลวินิจฉัยอีกครั้งหนึ่ง ศาลชั้นต้นจึงกำหนดให้คู่ความสืบพยานในประเด็นอื่นต่อไป ปรากฏตามรายงานกระบวนพิจารณาลงวันที่ 11 กันยายน 2528ต่อมาทนายจำเลยแถลงว่า คดีอาญาในข้อหาปลอมและใช้พินัยกรรมปลอมนั้น ศาลแขวงสงขลาพิพากษายกฟ้องแล้ว และส่งสำเนาคำพิพากษาคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 2588/2528 ของศาลแขวงสงขลาประกอบสำนวนไว้พิเคราะห์แล้ว เห็นว่า ที่คู่ความตกลงกันดังกล่าวเป็นเรื่องตกลงท้ากัน ให้ถือเอาผลของคำพิพากษาคดีอาญาในคดีหมายดำที่ 1188/2528 ของศาลแขวงสงขลา เป็นข้อวินิจฉัยว่าพินัยกรรมฉบับพิพาทเป็นพินัยกรรมปลอมหรือไม่ ตามข้อตกลงดังกล่าวย่อมมีความหมายว่า คู่ความประสงค์ให้ถือเอาผลของคำพิพากษาที่ถึงที่สุดเป็นข้อแพ้ชนะกันในประเด็นดังกล่าว เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ตามข้ออุทธรณ์และฎีกาของโจทก์ทั้งสอง โดยจำเลยไม่โต้แย้งคัดค้านว่าคดีอาญาหมายเลขดำที่ 1188/2528 หมายเลขแดงที่ 2588/2528ของศาลแขวงสงขลายังไม่ถึงที่สุดเพราะคดีอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลอุทธรณ์ ข้อเท็จจริงจึงยังไม่เป็นไปตามคำท้า ดังนั้นที่ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ภาค 3 ฟังข้อเท็จจริงว่า จำเลยไม่ได้ปลอมพินัยกรรมฉบับพิพาท โดยถือเอาผลของคำพิพากษาคดีอาญาของศาลแขวงสงขลาดังกล่าวซึ่งคดียังไม่ถึงที่สุด เป็นข้อวินิจฉัยคดีจึงไม่ชอบ เมื่อข้อเท็จจริงไม่ได้ความว่าคู่ความได้ยกเลิกคำท้าดังกล่าวศาลจึงต้องรอฟังผลของคำพิพากษาคดีอาญาดังกล่าวที่ถึงที่สุดเป็นหลักในการวินิจฉัยคดีตามที่คู่ความท้ากัน คำพิพากษาของศาลล่างทั้งสองไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา ฎีกาโจทก์ทั้งสองฟังขึ้นและเมื่อวินิจฉัยคดีดังกล่าวแล้วก็ไม่จำเป็นต้องวินิจฉัยข้อฎีกาของจำเลยอีก”
พิพากษายกคำพิพากษาศาลล่างทั้งสอง ให้ศาลชั้นต้นรอฟังผลคำพิพากษาคดีอาญาหมายเลขดำที่ 1188/2528 หมายเลขแดงที่ 2588/2528ของศาลแขวงสงขลาที่ถึงที่สุด แล้วให้ศาลชั้นต้นพิจารณาและพิพากษาใหม่ตามรูปคดี.