แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
แม้จำเลยจะได้ยกขึ้นเป็นข้อต่อสู้ในศาลชั้นต้นว่าฟ้องโจทก์เคลือบคลุม แต่เมื่อศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่าฟ้องของโจทก์ไม่เคลือบคลุมจำเลยก็มิได้ยกปัญหาข้อนี้ต่อสู้ในชั้นอุทธรณ์ ดังนั้น จำเลยจะกลับมายกปัญหานี้ขึ้นอ้างในศาลฎีกาอีกไม่ได้ ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า เมื่อ พ.ศ. 2448 นายขนได้สมรสกับนางสังวาลย์ มีบุตร 2 คน คือโจทก์ที่ 1, ที่ 2 ต่อมาใน พ.ศ. 2452 ได้สมรสกับนางเกียวเกิดบุตรด้วยกัน3 คน คือโจทก์ที่ 3, ที่ 4, ที่ 5 เมื่อ พ.ศ. 2490 นายขนได้จำเลยที่ 1 เป็นภริยาโดยมิได้จดทะเบียนสมรสเกิดบุตร 3 คน คือ จำเลยที่ 2, ที่ 3 และที่ 4 ในการสมรสกับนางสังวาลย์และนางเกียว นายขนมีสินเดิมคือเงินสดประมาณ 500 บาท นางสังวาลย์มีสินเดิมเช่นเครื่องทองรูปพรรณและทรัพย์สินอื่นราคาประมาณ 1,000 บาท นางเกียวมีสินเดิม คือเครื่องทองรูปพรรณราคาประมาณ 500 บาท ระหว่างอยู่กินกันได้ร่วมกันทำมาหาได้เกิดทรัพย์สมบัติหลายอย่างรวมเป็นเงิน 17,995,690 บาทเมื่อ พ.ศ. 2468 นางสังวาลย์ตายทรัพย์สินที่ได้ระหว่างนางสังวาลย์อยู่กินกับนายขนจึงตกเป็นส่วนของนายขน 2 ใน 3 ส่วน ตกเป็นมรดกของนางสังวาลย์ 1 ใน 3 ส่วน คิดเป็นเงิน 5,998,563 บาท 33 สตางค์ มรดกของนางสังวาลย์ ได้แก่ทายาทของนางสังวาลย์ คือโจทก์ที่ 1 โจทก์ที่ 2 และ นายขนเท่า ๆ กัน คือคนละ 1,999,521 บาท 11 สตางค์ แต่มรดกนี้ยังมิได้แบ่งกันนายขนได้ครอบครองไว้แทนโจทก์ที่ 1, ที่ 2 ทั้งโจทก์ที่ 1, ที่ 2 ก็ได้ครอบครองทรัพย์มรดกนั้นไว้ด้วย
เมื่อเดือนตุลาคม 2501 นายขนได้นำดอกผลที่เก็บได้จากทรัพย์มรดกของนางสังวาลย์และทรัพย์สินของนายขนไปซื้อที่ดินโฉนดที่ 2433 และ 2434 ตำบลคลอง 1 อำเภอคลองหลวง จังหวัดปทุมธานี ราคา 93,725 บาท และ 32,075บาทตามลำดับโดยใส่ชื่อจำเลยที่ 1 ในโฉนดที่ 2434 และใส่ชื่อจำเลยที่ 2 ถึงที่ 4ในโฉนดที่ 2433 เป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์แทนนายขนและโจทก์ที่ 1, ที่ 2 โจทก์ทั้งห้าจึงมีสิทธิได้รับส่วนแบ่งในที่ดินทั้งสองแปลงนี้คนละประมาณ 25,160 บาท นายขนตายเมื่อวันที่ 18 ตุลาคม 2514 โดยมิได้ทำพินัยกรรมไว้ ขณะตายนายขนมีทรัพย์สินคิดเป็นเงิน 11,997,136 บาท 67 สตางค์ และได้รับมรดกของนางสังวาลย์อีก 1,999,521 บาท 11 สตางค์ ทรัพย์ดังกล่าวตกได้แก่นางเกียว 1 ใน 3 ส่วน เป็นเงิน 4,665,551 บาท 39 สตางค์ ส่วนที่เหลือเป็นมรดกของนายขนตกได้แก่นางเกียว โจทก์ที่ 1 ถึงที่ 5 และจำเลยที่ 2 ถึงที่ 4 คนละเท่ากัน ๆ คิดเป็นเงินคนละ 1,037,575 บาท 15 สตางค์ โจทก์ทั้งห้าได้ครอบครองทรัพย์มรดกดังกล่าวตลอดมาโดยยังมิได้มีการแบ่งทรัพย์มรดกกัน เมื่อเดือนพฤษภาคม 2515 นางเกียวตาย ทรัพย์สินของนางเกียวจำนวน 4,665,551 บาท 39 สตางค์ จึงตกได้แก่โจทก์ที่ 3, ที่ 4 และที่ 5 คนละ 1 ส่วน เป็นเงิน 1,555,183 บาท 80 สตางค์ และนางเกียวมีสิทธิรับมรดกนายขนอีก 1,037,575 บาท 15 สตางค์ โจทก์ที่ 3 ถึงโจทก์ที่ 5 จึงมีสิทธิรับมรดกส่วนนี้อีกคิดเป็นเงินคนละ 345,858 บาท 72 สตางค์ โจทก์ที่ 3 ถึงโจทก์ที่ 5 จึงมีสิทธิรับมรดกของนางเกียวรวมเป็นเงินคนละ 1,901,042 บาท 52 สตางค์ รวมแล้วโจทก์ที่ 1, ที่ 2 จะได้รับมรดกรวมเป็นเงินคนละ 3,062,256 บาท 26 สตางค์ โจทก์ที่ 3, ที่ 4 ,ที่ 5 ได้รับมรดกรวมเป็นเงินคนละ 2,963,777 บาท 67 สตางค์ โจทก์ทั้งห้าคนได้ติดต่อจำเลยที่ 2 ถึงที่ 4 ให้แบ่งทรัพย์มรดก แต่จำเลยเพิกเฉย จำเลยทั้งสี่เป็นผู้ยึดถือโฉนดที่ดินทรัพย์มรดกตลอดจนเอกสารสิทธิไว้ จึงขอให้จำเลยที่ 2 ถึง 4 แบ่งทรัพย์มรดกให้โจทก์ทุกคนตามจำนวนเงินดังกล่าวข้างต้น ให้จำเลยทั้งสี่ส่งมอบโฉนดทรัพย์มรดกทุกแปลงและเอกสารสิทธิที่อยู่ในความครอบครองของจำเลยแก่โจทก์เพื่อแบ่งทรัพย์มรดกต่อไป
จำเลยทั้งสี่ให้การฟ้องโจทก์เคลือบคลุม เพราะโจทก์อ้างว่านายขนและนางสังวาลย์ร่วมทำมาหากินเกิดทรัพย์สินรวม 17,995,690 บาท ตามบัญชีทรัพย์ท้ายฟ้อง แต่โจทก์บรรยายฟ้องว่านางสังวาลย์ตายเมื่อ พ.ศ. 2468 จึงไม่ทราบว่าโจทก์ถือราคาทรัพย์ในขณะใด ทรัพย์ตามฟ้องไม่มีอยู่จริงและไม่มีราคาตามที่โจทก์ตั้งมา ที่ดินโฉนดที่ 2433, 2434 เป็นที่ดินที่ซื้อโดยเงินส่วนที่เกิดจากจำเลยที่ 2 (น่าจะเป็นจำเลยที่ 1) ทำมาหาได้ร่วมกับนายขน ที่ดินทั้งสองแปลงนี้จึงเป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลยที่ 1 ถึงที่ 4 ไม่ใช่ทรัพย์มรดกของนายขน ที่ดินตามบัญชีทรัพย์ท้ายฟ้องรวม 14 โฉนด และสิ่งปลูกสร้างตามบัญชีทรัพย์ท้ายฟ้องอันดับ 7 – 8 จะมีอยู่หรือไม่ จำเลยไม่ทราบ จำเลยยอมรับว่าโจทก์ทั้งห้าและจำเลยทั้งสี่ได้ครอบครองทรัพย์มรดกร่วมกันมา หากทรัพย์มรดกมีอยู่จริงและอยู่ในความครอบครองของจำเลย จำเลยก็ยินดีแบ่งให้โจทก์ตามสิทธิ
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่าฟ้องของโจทก์ไม่เคลือบคลุม พิพากษาให้จำเลยที่ 2 ถึงที่ 4 แบ่งที่ดินโฉนดที่ 123, 124, 125, 126, 127 ตำบลคลองหกวา โฉนดที่ 178,195, 2688, 203, 989, 990, 240, 263 ตำบลคลองซอยที่ 2 อำเภอคลองหลวงจังหวัดปทุมธานี โฉนดที่ 8408 ตำบลพยอม อำเภอวังน้อย จังหวัดพระนครศรีอยุธยา และบ้านที่นายขนอยู่เฉพาะที่เป็นมรดกส่วนของนางสังวาลย์ให้แก่โจทก์ที่ 1, ที่ 2คนละ 1 ส่วน และเฉพาะส่วนที่เป็นมรดกของนายขนให้แก่นางเกียวโจทก์ที่ 1 ถึงที่ 5 และจำเลยที่ 2 ถึงที่ 4 รวม 9 คน ๆ ละ 1 ส่วน เฉพาะส่วนที่เป็นมรดกของนางเกียวให้แก่โจทก์ที่ 3 ถึงที่ 5 คนละ 1 ส่วน กับให้แบ่งที่ดินโฉนดที่ 2433, 2434 ตำบลคลองหนึ่ง อำเภอคลองหลวง จังหวัดปทุมธานี ให้แก่โจทก์ทั้งห้าคนคนละ1 ส่วน ให้แบ่งสิ่งปลูกสร้างในที่ดินโฉนดที่ 2688, 8408 นอกจากบ้านที่นายขนอยู่พร้อมด้วยสังหาริมทรัพย์ในบ้านของนายขนให้แก่โจทก์ทั้งห้าคนและจำเลยที่ 2 ถึงที่ 4 คนละ 1 ส่วน ให้จำเลยทั้งสี่มอบโฉนดทรัพย์มรดกทุกแปลงและเอกสารสิทธิทั้งหลายเท่าที่มีอยู่ในความครอบครองของจำเลยแก่โจทก์เพื่อแบ่งทรัพย์มรดกกันต่อไป
จำเลยทุกคนอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นให้จำเลยที่ 2 ถึงที่ 4 แบ่งทรัพย์มรดกส่วนของนางสังวาลย์ให้แก่นายขนและโจทก์ที่ 1, ที่ 2 คนละ 1 ส่วน นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยทุกคนฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ที่จำเลยฎีกาว่าฟ้องโจทก์ที่เกี่ยวกับมรดกของนางสังวาลย์เคลือบคลุม เพราะโจทก์มิได้บรรยายให้แจ้งชัดว่าในขณะที่นางสังวาลย์ตายเมื่อ พ.ศ. 2468 สินสมรสระหว่างนายขนและนางสังวาลย์มีอยู่เท่าใดนั้น เห็นว่าสำหรับปัญหาฟ้องเคลือบคลุมแม้จำเลยจะได้ยกขึ้นเป็นข้อต่อสู้ในศาลชั้นต้นก็ตามแต่เมื่อศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่าฟ้องของโจทก์ไม่เคลือบคลุม จำเลยก็มิได้ยกปัญหาข้อนี้ต่อสู้ในชั้นอุทธรณ์ ดังนั้นจำเลยจะกลับมายกปัญหานี้ขึ้นอ้างในศาลฎีกาอีกมิได้ ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 และศาลฎีกาพิพากษายืน