คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 13928/2555

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ฟ้องให้จำเลยรับผิดตามเช็คจำนวน 6 ฉบับ ที่จำเลยเป็นผู้สั่งจ่าย หาได้ฟ้องให้จำเลยรับผิดตามสัญญากู้ยืมเงินไม่ การวินิจฉัยความผิดของจำเลยจึงต้องเป็นไปตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์เรื่องตั๋วเงิน โจทก์จึงหาจำต้องมีหลักฐานแห่งการกู้ยืมเงินมาแสดงตามที่จำเลยฎีกาไม่
จำเลยเป็นผู้ลงลายมือชื่อในเช็คทั้ง 6 ฉบับ ตามฟ้อง จำเลยจึงต้องรับผิดตามเนื้อความในเช็คตาม ป.พ.พ. มาตรา 900 วรรคหนึ่ง เมื่อจำเลยปฏิเสธความรับผิดโดยอ้างว่ามูลหนี้ตามเช็คระงับแล้ว ภาระการพิสูจน์จึงตกแก่จำเลยและจำเลยฎีกาว่า โจทก์ได้ทำให้ทรัพย์สินที่เช่าเสียหาย คิดเป็นเงิน 260,000 บาท จึงขอหักกลบลบหนี้กับเช็คตามฟ้องโดยจำเลยเบิกความว่า ก่อนที่โจทก์จะออกไปจากห้องเช่า ทำให้ห้องเช่าเสียหาย เนื่องจากต่อเติมห้องเช่าโดยเทพื้นคอนกรีตลงบนสนามหญ้า มูลค่าความเสียหายเป็นเงิน 260,000 บาท นั้น ค่าเสียหายดังกล่าวโจทก์มิได้ยอมรับ จึงเป็นสิทธิเรียกร้องที่ยังมีข้อต่อสู้อยู่ ไม่อาจจะนำมาหักกลบลบหนี้ตาม ป.พ.พ. มาตรา 344 ได้ จำเลยจึงต้องรับผิดใช้เงินตามเช็คแก่โจทก์ตามฟ้อง

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องขอให้บังคับจำเลยชำระเงิน 275,000 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยให้การขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง ค่าฤชาธรรมเนียมเป็นพับ
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษากลับเป็นว่า ให้จำเลยชำระเงิน 275,000 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้อง (ฟ้องวันที่ 8 กันยายน 2551) จนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ และให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสองศาลแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความรวม 6,000 บาท
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงเบื้องต้นที่โจทก์และจำเลยมิได้ฎีกาโต้แย้งรับฟังได้ว่า โจทก์ได้ทำสัญญาเช่ากับจำเลยรวม 2 ฉบับ คือสัญญาเช่าบ้านและสัญญาเช่าเฟอร์นิเจอร์และอุปกรณ์ เครื่องใช้และสัญญาบริการ มีกำหนด 1 ปี คิดค่าเช่าฉบับละ 75,000 บาท รวม 2 ฉบับ เป็นเงิน 150,000 บาท ต่อเดือน จำเลยได้กู้ยืมเงินโจทก์จำนวน 1,000,000 บาท ต่อมาจำเลยได้สั่งจ่ายเช็คจำนวน 6 ฉบับ ตามฟ้องมอบให้แก่โจทก์ แต่ธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงินตามเช็คทั้ง 6 ฉบับ
มีปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยข้อแรกว่า เช็คตามฟ้องมีมูลหนี้จากการกู้ยืมหรือไม่ จำเลยฎีกาว่า โจทก์ไม่มีสัญญากู้ยืมมาแสดงและไม่สามารถนำสืบให้เห็นว่าเช็คดังกล่าวมีมูลหนี้จากการกู้ยืม ข้อเท็จจริงรับฟังไม่ได้ตามที่โจทก์ฟ้อง เห็นว่า โจทก์ฟ้องให้จำเลยรับผิดตามเช็คจำนวน 6 ฉบับ ที่จำเลยเป็นผู้สั่งจ่าย หาได้ฟ้องให้จำเลยรับผิดตามสัญญากู้ยืมเงินไม่ การวินิจฉัยความผิดของจำเลยจึงต้องเป็นไปตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์เรื่องตั๋วเงิน โจทก์จึงหาจำต้องมีหลักฐานแห่งการกู้ยืมเงินมาแสดงตามที่จำเลยฎีกาไม่ ข้อต่อสู้ของจำเลยข้อนี้ฟังไม่ขึ้น ส่วนปัญหาตามฎีกาของจำเลยในข้อต่อมาว่า มูลหนี้ตามเช็คระงับไปแล้วหรือไม่ จำเลยฎีกาว่า ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 วินิจฉัยว่า จำเลยยังมีหนี้อื่นที่ค้างชำระอยู่แก่โจทก์อีกนอกเหนือจากหนี้เงินกู้ 1,000,000 บาท ไม่ปรากฏจากคำให้การหรือทางนำสืบของโจทก์หรือจำเลย จึงเป็นการรับฟังพยานหลักฐานนอกสำนวน เห็นว่า จำเลยเป็นผู้ลงลายมือชื่อในเช็คทั้ง 6 ฉบับ ตามฟ้อง จำเลยจึงต้องรับผิดตามเนื้อความในเช็คนั้นตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 900 วรรคหนึ่ง เมื่อจำเลยปฏิเสธความรับผิดโดยอ้างว่ามูลหนี้ตามเช็คระงับแล้ว ภาระการพิสูจน์จึงตกแก่จำเลย จำเลยมีตัวจำเลยเบิกความเป็นพยานว่า โจทก์เช่าบ้านกับเช่าเครื่องใช้จากจำเลย ตามสัญญาเช่า 2 ฉบับ รวมค่าเช่าเดือนละ 150,000 บาท ได้ตกลงกันว่า ในแต่ละเดือนโจทก์จะชำระค่าเช่าให้แก่จำเลยเดือนละ 50,000 บาท ส่วนค่าเช่าที่เหลืออีก 100,000 บาท โจทก์จะหักจากหนี้ต้นเงินที่จำเลยกู้ยืมจากโจทก์ 75,000 บาท กับดอกเบี้ยอีก 25,000 บาท ในระหว่างการเช่า โจทก์ได้ทำทรัพย์สินที่เช่าเสียหาย เนื่องจากต่อเติมห้องเช่าโดยเทพื้นคอนกรีตลงบนสนามหญ้า มูลค่าความเสียหายเป็นเงิน 260,000 บาท รวมเป็นต้นเงินที่จำเลยชำระแก่โจทก์เดือนละ 75,000 บาท รวม 12 เดือน เป็นเงิน 900,000 บาท เมื่อรวมกับค่าเสียหายที่โจทก์ทำทรัพย์สินที่เช่าเสียหายแล้ว รวมเป็นเงิน 1,160,000 บาท เมื่อหักกลบลบหนี้กับเช็ค 6 ฉบับ ตามฟ้องแล้ว จึงไม่มีมูลหนี้ต่อกัน เห็นว่า จำเลยให้การว่า ก่อนสัญญาเช่าจะสิ้นสุดลง โจทก์ได้นำสัญญากู้และเช็คประกันมาแลกเปลี่ยนเช็คกับจำเลย ซึ่งจำเลยได้สั่งจ่ายเช็ค 30 ฉบับ รวมเช็ค 6 ฉบับ ตามฟ้องด้วย เพื่อเป็นหลักประกันการชำระหนี้ตามสัญญากู้และดอกเบี้ยที่จำเลยทำไว้แก่โจทก์ ดังนั้น เมื่อโจทก์ได้หักหนี้เงินกู้พร้อมดอกเบี้ยจากค่าเช่าที่ต้องชำระแก่จำเลยทุกเดือนตลอดระยะเวลาที่เช่าจนสัญญาเช่าใกล้จะสิ้นสุดลงแล้ว แต่จำเลยกลับสั่งจ่ายเช็ค 30 ฉบับ ซึ่งรวมเช็คตามฟ้องด้วยให้แก่โจทก์เพื่อชำระหนี้ที่ค้าง ย่อมแสดงว่าขณะจำเลยมอบเช็คตามฟ้องให้แก่โจทก์ จำเลยยังมีหนี้อื่นที่ค้างชำระอยู่แก่โจทก์อีกนอกเหนือจากหนี้เงินกู้จำนวน 1,000,000 บาท ที่มีการหักจากค่าเช่าแล้วทุกเดือน เพราะมิฉะนั้นแล้ว จำเลยก็คงจะไม่สั่งจ่ายเช็คจำนวนถึง 30 ฉบับ ซึ่งรวมเช็คตามฟ้องด้วยให้แก่โจทก์ การวินิจฉัยของศาลอุทธรณ์ภาค 1 จึงเป็นการวินิจฉัยจากข้อเท็จจริงในสำนวนหาใช่รับฟังข้อเท็จจริงนอกสำนวนตามที่จำเลยฎีกาไม่ นอกจากนี้ศาลฎีกาเห็นว่า จำเลยก็เบิกความรับว่า ไม่ได้ทำหลักฐานเป็นลายลักษณ์อักษรว่าหลังจากหักกลบลบหนี้แล้ว ไม่มีหนี้ต่อกัน ซึ่งหากมีการหักกลบลบหนี้ระหว่างโจทก์กับจำเลยแล้ว จำเลยก็น่าที่จะให้โจทก์ทำบันทึกไว้เป็นหลักฐานเพื่อมิให้เกิดข้อโต้แย้งขึ้นในภายหลัง ฎีกาข้อนี้ของจำเลยฟังไม่ขึ้น ส่วนที่จำเลยฎีกาว่า เช็คฉบับที่ 3 ตามฟ้อง เป็นเช็คชำระดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 2.5 ต่อเดือน เกินกว่าอัตราที่กฎหมายกำหนด จำเลยมีตัวจำเลยเพียงปากเดียวเบิกความกล่าวอ้างลอย ๆ ว่า โจทก์คิดดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 2.5 ต่อเดือน ซึ่งเช็คฉบับที่สั่งจ่าย 25,000 บาท เป็นการชำระดอกเบี้ย โดยไม่มีพยานหลักฐานอื่นใดมาสนับสนุน ส่วนโจทก์มีนายถิระพันธ์ เบิกความว่า เช็คฉบับดังกล่าวได้สั่งจ่ายแทนเช็คฉบับหนึ่งที่จำเลยสั่งจ่ายเงินจำนวน 50,000 บาท มอบให้โจทก์เป็นการชำระหนี้ แต่ธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงิน จำเลยจึงได้จ่ายเงินสด 25,000 บาท กับเช็คฉบับที่ 3 มอบให้แก่โจทก์แทน คดีจึงรับฟังไม่ได้ว่า เช็คฉบับที่ 3 ตามฟ้องเป็นเช็คค่าดอกเบี้ยที่ผิดกฎหมาย ที่จำเลยฎีกาต่อไปว่า โจทก์ได้ทำให้ทรัพย์สินที่เช่าเสียหาย คิดเป็นเงิน 260,000 บาท จึงขอหักกลบลบหนี้กับเช็คตามฟ้องโดยจำเลยเบิกความว่า ก่อนที่โจทก์จะออกไปจากห้องเช่า ทำให้ห้องเช่าเสียหาย เนื่องจากต่อเติมห้องเช่าโดยเทพื้นคอนกรีตลงบนสนามหญ้า มูลค่าความเสียหายเป็นเงิน 260,000 บาท เห็นว่า ค่าเสียหายดังกล่าวโจทก์มิได้ยอมรับ จึงเป็นสิทธิเรียกร้องที่ยังมีข้อต่อสู้อยู่ ไม่อาจจะนำมาหักกลบลบหนี้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 344 ได้ จำเลยจึงต้องรับผิดใช้เงินตามเช็คแก่โจทก์ตามฟ้อง ส่วนฎีกาข้ออื่น ๆ ของจำเลยนอกจากนี้ ไม่จำต้องวินิจฉัย เพราะไม่ทำให้ผลคดีเปลี่ยนแปลง ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษามา ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ

Share