แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
หนังสือรับสภาพหนี้ เอกสารหมาย จ.6 มีขึ้นเนื่องจากจำเลยทั้งสามไม่ปฏิบัติการชำระหนี้ตามข้อตกลงในหนังสือรับสภาพหนี้เอกสารหมาย จ.5 จนกระทั่งโจทก์ต้องดำเนินคดีในทางอาญาแก่ผู้ที่สั่งจ่ายเช็คให้ไว้แต่ถูกธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงิน เมื่อจำเลยทั้งสามทำหนังสือรับสภาพหนี้เอกสารหมาย จ.6 ให้แก่โจทก์ โจทก์ก็ได้ถอนฟ้องหรือถอนคำร้องทุกข์ในคดีอาญาเหล่านั้น อีกทั้งโจทก์ยังได้ลดจำนวนหนี้ ตามหนังสือรับสภาพหนี้เอกสารหมาย จ.5 ให้แก่จำเลยทั้งสาม ส. และ ท. และให้ผ่อนชำระดังรายละเอียดในหนังสือรับสภาพหนี้ เอกสารหมาย จ.6 ดังนี้ แม้เอกสารหมาย จ.6 จะใช้คำว่า “หนังสือรับสภาพหนี้” แต่เมื่อข้อกำหนดและเหตุผลในการจัดทำเป็นเรื่องที่โจทก์กับจำเลยทั้งสามต่างตกลงระงับข้อพิพาทซึ่งเกิดจากหนังสือรับสภาพหนี้ เอกสารหมาย จ.5 ให้เสร็จไปด้วยต่างยอมผ่อนผันให้แก่กัน เอกสารหมาย จ.6 จึงเป็นสัญญาประนีประนอมยอมความ ตาม ป.พ.พ. มาตรา 850 จำเลยทั้งสามปฏิบัติการชำระหนี้ครั้งสุดท้ายเมื่อวันที่ 3 กันยายน 2540 อายุความที่โจทก์จะต้องบังคับใช้สิทธิเรียกร้องจึงมีกำหนดสิบปีนับแต่วันดังกล่าวตาม ป.พ.พ. มาตรา 193/32 โจทก์ฟ้องคดีนี้เมื่อวันที่ 27 ธันวาคม 2545 คดีโจทก์จึงไม่ขาดอายุความ
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสามร่วมกันชำระเงินจำนวน 1,889,250 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงิน 1,374,000 บาท นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยทั้งสามให้การขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสามชำระเงินจำนวน 1,889,250 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงินจำนวน 1,374,000 บาท นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ ให้จำเลยทั้งสามร่วมกันใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความ 20,000 บาท
จำเลยทั้งสามอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน ให้จำเลยทั้งสามใช้ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นอุทธรณ์แทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความให้ 8,000 บาท
จำเลยทั้งสามฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงรับฟังได้เป็นยุติในเบื้องต้นโดยไม่มีคู่ความฝ่ายใดฎีกาโต้แย้งว่า จำเลยทั้งสามร่วมกันทำสัญญารับสภาพหนี้ตามเอกสารหมาย จ. 6 ให้ไว้แก่โจทก์ โดยยอมรับว่าจำเลยทั้งสามกับนายสุพิทักษ์ เป็นหนี้โจทก์จำนวน 1,700,000 บาท และจำเลยทั้งสามขอร่วมกันผ่อนชำระหนี้จำนวนดังกล่าวแก่โจทก์ แต่จำเลยทั้งสามผ่อนชำระให้โจทก์ไม่ครบถ้วนตามข้อตกลง โดยชำระครั้งสุดท้ายจำนวน 3,000 บาท
มีปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยทั้งสามในประการแรกว่า หนังสือรับสภาพหนี้เอกสารหมาย จ. 6 ทำขึ้นโดยไม่มีมูลหนี้ต่อกันมาก่อนหรือไม่ พยานโจทก์คือนายเกรียงศักดิ์ ทนายความโจทก์ และนางณธรี ผู้รับมอบอำนาจโจทก์เบิกความให้ข้อเท็จจริงทำนองเดียวกันว่า ระหว่างปี 2528 และ 2529 นางอโนชา มารดาของจำเลยทั้งสาม นางสาวอรอุมา นายเทวัญ นายสุพิทักษ์ และจำเลยทั้งสามผลัดเปลี่ยนกันกู้เงินโจทก์ จนกระทั่งจำเลยทั้งสามกับพวกรวม 7 คน ได้ทำหนังสือรับสภาพหนี้ให้ไว้แก่โจทก์จำนวน 6,148,100 บาท และขอผ่อนชำระโดยสั่งจ่ายเป็นเช็คเงินสดให้ไว้แก่โจทก์ตามรายละเอียดในหนังสือรับสภาพหนี้เอกสารหมาย จ. 5 แต่ต่อมาเช็คบางฉบับถูกธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงิน โจทก์ได้ดำเนินคดีแก่ผู้สั่งจ่ายตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค จำเลยทั้งสามจึงเจรจาขอประนีประนอมยอมความ และได้ทำหนังสือรับสภาพหนี้เอกสารหมาย จ. 6 ให้ไว้แก่โจทก์ เพื่อให้โจทก์ยุติการดำเนินคดีทางอาญา นอกจากนายเกรียงศักดิ์และนางณธรีแล้ว โจทก์ยังมีพยานอีกปากหนึ่งคือนางสาวอรอุมาเบิกความให้ข้อเท็จจริงสอดคล้องกับนายเกรียงศักดิ์และนางณธรี นางสาวอรอุมาเป็นพี่สาวของจำเลยทั้งสามเบิกความยอมรับข้อเท็จจริงซึ่งเป็นผลร้ายแก่ตนเองและพี่น้องของตน คำเบิกความของนางสาวอรอุมาย่อมมีน้ำหนักรับฟังได้ พยานจำเลยคงมีเพียงจำเลยที่ 3 เพียงผู้เดียวเบิกความปฏิเสธความรับผิดเพียงว่า จำเลยทั้งสามไม่เคยเห็นสัญญากู้เงินซึ่งนางอโนชาผู้เป็นมารดาทำไว้แก่โจทก์ จำเลยทั้งสามและพี่น้องทำหนังสือรับสภาพหนี้เอกสารหมาย จ. 5 ให้ไว้แก่โจทก์เพียงเพื่อให้นางอโนชาสบายใจ ตลอดทั้งการที่จำเลยทั้งสามทำหนังสือรับสภาพหนี้เอกสารหมาย จ. 6 ซึ่งโจทก์นำมาฟ้องคดีนี้ก็เพียงเพื่อให้คดีอาญาระงับเท่านั้น จะเห็นได้ว่าข้อเท็จจริงจากทางนำสืบของจำเลยทั้งสามขัดแย้งกับคำเบิกความของนางอโนชา และขาดเหตุผลที่จะให้รับฟังว่าจำเลยทั้งสามยอมทำหนังสือรับสภาพหนี้เอกสารหมาย จ. 6 ให้แก่โจทก์โดยไม่มีมูลหนี้ต่อกัน ข้อเท็จจริงรับฟังได้ตามทางนำสืบของโจทก์ จำเลยทั้งสามต้องร่วมกันรับผิดต่อโจทก์ตามฟ้อง ฎีกาของจำเลยทั้งสามในข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
ปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยทั้งสามข้อต่อไปมีว่า คดีโจทก์ขาดอายุความหรือไม่ เห็นว่า โจทก์ฟ้องให้จำเลยทั้งสามร่วมกันรับผิดต่อโจทก์ตามหนังสือรับสภาพหนี้เอกสารหมาย จ. 6 ศาลฎีกาพิเคราะห์ข้อความในเอกสารหมาย จ. 6 ประกอบกับข้อเท็จจริงที่รับฟังได้ว่าหนังสือรับสภาพหนี้เอกสารหมาย จ. 6 มีขึ้นเนื่องจากจำเลยทั้งสามไม่ปฏิบัติการชำระหนี้ตามข้อตกลงในหนังสือรับสภาพหนี้เอกสารหมาย จ. 5 จนกระทั่งโจทก์ต้องดำเนินคดีในทางอาญาแก่ผู้ที่สั่งจ่ายเช็คให้ไว้แต่ถูกธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงินเช่น จำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 2 เมื่อจำเลยทั้งสามทำหนังสือรับสภาพหนี้เอกสารหมาย จ. 6 ให้แก่โจทก์ โจทก์ก็ได้ถอนฟ้องหรือถอนคำร้องทุกข์ในคดีอาญาเหล่านั้น อีกทั้งโจทก์ยังได้ลดจำนวนหนี้ 6,148,100 บาท ตามหนังสือรับสภาพหนี้เอกสารหมาย จ. 5 ให้แก่จำเลยทั้งสาม นายสุพิทักษ์ นางสาวอรอุมา และนายเทวัญ โดยสำหรับจำเลยทั้งสามร่วมกันรับผิดจำนวน 1,700,000 บาท และให้ผ่อนชำระด้วยดังรายละเอียดในหนังสือรับสภาพหนี้เอกสารหมาย จ. 6 ดังนี้ เอกสารหมาย จ. 6 ดังกล่าว แม้จะใช้คำว่า “หนังสือรับสภาพหนี้” แต่เมื่อข้อกำหนดและเหตุผลในการจัดทำเป็นเรื่องที่โจทก์กับจำเลยทั้งสามต่างตกลงระงับข้อพิพาทซึ่งเกิดจากหนังสือรับสภาพหนี้เอกสารหมาย จ. 5 ให้เสร็จไปด้วยต่างยอมผ่อนผันให้แก่กัน เอกสารหมาย จ. 6 จึงเป็นสัญญาประนีประนอมยอมความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 850 ซึ่งเมื่อจำเลยทั้งสามปฏิบัติการชำระหนี้ครั้งสุดท้ายเมื่อวันที่ 3 กันยายน 2540 อายุความที่โจทก์จะต้องบังคับใช้สิทธิเรียกร้องจึงมีกำหนดสิบปีนับแต่วันดังกล่าวตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 193/32 โจทก์ฟ้องคดีนี้เมื่อวันที่ 27 ธันวาคม 2545 คดีโจทก์จึงไม่ขาดอายุความ ฎีกาของจำเลยทั้งสามในข้อนี้ฟังไม่ขึ้นเช่นกัน
พิพากษายืน ให้จำเลยทั้งสามร่วมกันใช้ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความให้ 8,000 บาท