คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 867/2520

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

เช็คไม่ลงวันที่ออกเช็คไม่สมบูรณ์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 988(6) นั้น ไม่เป็นปัญหาเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 225 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง (ฉบับที่ 6) พ.ศ.2518 มาตรา 4 ถ้าไม่ยกขึ้นเป็นประเด็นต่อสู้ในคำให้การ ศาลไม่รับวินิจฉัยให้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 1 เป็นนิติบุคคลตามกฎหมายโดยมีร้อยตำรวจเอกฟุ้ง ระงับภัย นายเฉลิม พานิชสุข และจำเลยที่ 2 เป็นหุ้นส่วนประเภทไม่จำกัดความรับผิดนายเฉลิม พานิชสุข เป็นหุ้นส่วนผู้จัดการ ต่อมาร้อยตำรวจเอกฟุ้ง ระงับภัย และนายเฉลิม พานิชสุข ถึงแก่กรรม จำเลยที่ 3 ที่ 4 ซึ่งเป็นภรรยาของบุคคลทั้งสองตามลำดับเป็นผู้รับมรดกและเข้าถือหุ้น และดำเนินกิจการของห้างจำเลยที่ 1 แทนผู้ตายโดยมิได้จดทะเบียนเปลี่ยนแปลงผู้ถือหุ้นเมื่อวันที่ 4 กันยายน 2512 ตอนนายเฉลิม พานิชสุข ยังมีชีวิตอยู่จำเลยที่ 1 โดยนายเฉลิม พานิชสุข ได้กู้เงินและสั่งจ่ายเช็คไว้ให้โจทก์ 3 ฉบับ เป็นเงิน 40,000 บาท ฉบับหลังไม่ลงวันที่ ได้ตกลงกันว่าจำเลยที่ 1 มีเงินชำระเมื่อใดก็จะแจ้งให้โจทก์ทราบและให้ไปรับเงินที่ธนาคารโดยให้ธนาคารตอกตราวัน เดือน ปี ในเช็คเพื่อรับเงิน ปรากฏตามสำเนาเช็ค3 ฉบับ หมาย 1 ถึง 3 ท้ายฟ้อง เมื่อเช็คหมาย 1, 2 ถึงกำหนด นายเฉลิมพานิชสุข ขอผัด ต่อมานายเฉลิมถึงแก่กรรม โจทก์ทวงถามให้จำเลยทั้งสี่ชำระหนี้ 40,000 บาท และดอกเบี้ยแก่โจทก์ จำเลยทั้งสี่ผัดผ่อนเรื่อยมา โจทก์ได้แจ้งให้จำเลยทั้งสี่ทราบว่าจะนำเช็ค 3 ฉบับเข้าบัญชีเพื่อเรียกเก็บเงินในวันที่ 24 เมษายน 2513 ครั้นถึงกำหนดโจทก์นำเช็คเข้าบัญชี แต่เรียกเก็บเงินไม่ได้ เพราะธนาคารเจ้าของเช็คปฏิเสธการจ่ายเงินตามเช็คทั้ง 3 ฉบับ จำเลยทั้งสี่ต้องร่วมกันและแทนกันใช้หนี้ให้โจทก์ ขอให้พิพากษาให้จำเลยชำระหนี้ 40,000 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ย

จำเลยทั้งสี่ร่วมกันให้การว่า ห้างจำเลยที่ 1 หมดสภาพเป็นนิติบุคคลเพราะการตายของร้อยตำรวจเอกฟุ้ง ระงับภัย และนายเฉลิม พานิชสุข คงมีแต่จำเลยที่ 2 เป็นหุ้นส่วนอยู่คนเดียว โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง นายเฉลิมพานิชสุข ออกเช็คสั่งจ่ายเป็นส่วนตัว จำเลยที่ 1 ไม่ได้รับเงินที่ยืม ทั้งเป็นการขัดวัตถุประสงค์ของจำเลยที่ 1 ด้วย จำเลยทั้งสี่ไม่ต้องรับผิด ขอให้ยกฟ้อง

ศาลชั้นต้นฟังว่า โจทก์มีอำนาจฟ้อง จำเลยที่ 1 ที่ 2 ต้องร่วมกันรับผิดใช้เงินตามเช็คพร้อมด้วยดอกเบี้ยให้โจทก์ สำหรับจำเลยที่ 3 ที่ 4 ไม่ต้องรับผิดด้วย พิพากษาให้จำเลยที่ 1 ที่ 2 ร่วมกันใช้เงิน 40,000 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยให้ยกฟ้องสำหรับจำเลยที่ 3 ที่ 4

จำเลยที่ 1 ที่ 2 อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์ฟังว่าโจทก์ไม่มีสิทธิฟ้องจำเลยที่ 1 และที่ 2 พิพากษาแก้ให้ยกฟ้องจำเลยที่ 1 ที่ 2 ด้วย

โจทก์ฎีกา

ศาลฎีกาฟังว่าโจทก์มีสิทธิฟ้องจำเลยที่ 1 และที่ 2 พิพากษายกคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ให้ย้อนสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยในประเด็นความรับผิดของจำเลยที่ 1 และที่ 2 แล้วพิพากษาใหม่ตามรูปคดี

ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยใหม่ว่า จำเลยที่ 1 ที่ 2 ต้องร่วมรับผิด และไม่วินิจฉัยข้ออุทธรณ์ของจำเลยที่ 1 ที่ 2 ที่ว่าเช็คไม่สมบูรณ์ เพราะจำเลยไม่ได้ยกขึ้นต่อสู้ในคำให้การแต่ต้น และไม่ใช่ข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ส่วนที่จำเลยอุทธรณ์เรื่องค่าฤชาธรรมเนียมใช้แทนก็เห็นว่าศาลชั้นต้นกำหนดให้เหมาะสมแล้ว พิพากษายืน

จำเลยที่ 1 ที่ 2 ฎีกาเพียงว่า เช็คพิพาทเป็นเอกสารที่ลงรายการไม่ครบถ้วน ไม่สมบูรณ์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 988(6)และเป็นข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน แม้จำเลยไม่ได้กล่าวอ้างไว้ในคำให้การ ศาลควรวินิจฉัยให้ได้

ศาลฎีกาเห็นว่าข้อกฎหมายตามที่จำเลยที่ 1 ที่ 2 ฎีกาว่าเช็คพิพาทไม่ลงวันที่ออกเช็คไม่สมบูรณ์ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 988(6) นั้น จำเลยทั้งสองไม่ได้ยกขึ้นเป็นประเด็นต่อสู้ในคำให้การและไม่เป็นปัญหาเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 225 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง (ฉบับที่ 6) พ.ศ. 2518 มาตรา 4 ศาลอุทธรณ์ไม่รับวินิจฉัยให้นั้นชอบแล้ว

พิพากษายืน

Share