แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
การที่ผู้ร้องซึ่งเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาในคดีอื่นร้องขอเฉลี่ยทรัพย์ของจำเลย ในคดีที่โจทก์ผู้เป็นเจ้าหนี้จำนองยึดไว้ เพื่อขายทอดตลาดนั้นมิใช่เป็นกรณีเฉลี่ยทรัพย์โดยตรงกับโจทก์ เพราะโจทก์เป็นเจ้าหนี้จำนอง แต่เป็นกรณีที่ผู้ร้องมีสิทธิได้รับชำระจากเงินที่เหลือภายหลังที่ได้ชำระให้แก่โจทก์แล้ว ต้องนำประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 290 มาบังคับใช้โดยอนุโลม เมื่อผู้ร้องได้ยื่นคำร้องเข้ามาก่อนสิ้นระยะเวลาสิบสี่วันนับแต่วันขายทอดตลาด ศาลจึงอนุญาตให้ผู้ร้องรับเงินตามสิทธิได้
มาตรา 290 แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งเป็นบทบัญญัติที่คุ้มครองเจ้าหนี้ ดังนั้นข้ออ้างที่ว่าจำเลยยังมีทรัพย์สินอื่นที่ผู้ร้องสามารถเอาชำระหนี้ได้ซึ่งเป็นข้อโต้แย้งระหว่างเจ้าหนี้ด้วยกัน จำเลยผู้เป็นลูกหนี้จะยกขึ้นโต้แย้งหาได้ไม่
ย่อยาว
กรณีสืบเนื่องมาจากศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงินพร้อมดอกเบี้ยแก่โจทก์ และให้จำเลยไถ่ถอนจำนองที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้าง หากไม่ชำระหนี้และไม่ไถ่ถอนจำนอง ให้ยึดทรัพย์จำนองออกขายทอดตลาดชำระหนี้แก่โจทก์ เจ้าพนักงานบังคับคดียึดและประกาศขายทอดตลาดที่ดินทั้งสองแปลงพร้อมสิ่งปลูกสร้าง ต่อมาผู้ร้องยื่นคำร้องว่า ผู้ร้องเป็นเจ้าหนี้จำเลยตามคำพิพากษาในคดีหมายเลขแดงที่ ๑๘๒/๒๕๒๒ จำเลยมีที่ดินสองแปลงและสิ่งปลูกสร้างที่ถูกยึดในคดีนี้เท่านั้น จำเลยไม่มีทรัพย์สินอย่างอื่นที่ผู้ร้องจะเอาชำระหนี้ได้ขอให้ผู้ร้องเข้าเฉลี่ยทรัพย์ของจำเลยที่ขายได้ในคดีนี้ หากโจทก์ปลดจำนองให้แก่จำเลย ขอให้ผู้ร้องเข้าสวมสิทธิยึดทรัพย์ของจำเลยต่อไป
โจทก์แถลงไม่คัดค้านแต่โจทก์ขอรับชำระหนี้จำนองก่อน
จำเลยแถลงคัดค้านหลายประการ และขอให้ยกคำร้อง
ศาลชั้นต้นสั่งอนุญาตให้ผู้ร้องเข้าเฉลี่ยในจำนวนเงินที่เหลือจากการชำระหนี้จำนองได้ และอนุญาตให้ผู้ร้องสวมสิทธิในการบังคับคดีได้
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกคำร้องของผู้ร้องที่ขอเข้าสวมสิทธิการยึดทรัพย์ของจำเลย
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ที่จำเลยฎีกาว่าทรัพย์ของจำเลยจำนองไว้ต่อโจทก์และยังไม่ได้ขายทอดตลาด ผู้ร้องไม่มีสิทธิยื่นคำร้องขอเฉลี่ยทรัพย์นั้น เห็นว่ากรณีนี้มิใช่เรื่องเฉลี่ยทรัพย์โดยตรงกับโจทก์ เพราะโจทก์เป็นเจ้าหนี้จำนองชอบที่จะได้รับชำระหนี้จากทรัพย์สินของจำเลยที่จำนองก่อนผู้ร้องซึ่งเป็นเจ้าหนี้สามัญแต่เป็นเรื่องผู้ร้องมีสิทธิได้รับชำระจากเงินที่เหลือภายหลังที่ได้ชำระให้แก่โจทก์แล้ว ซึ่งก็ต้องนำประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา ๒๙๐ มาบังคับใช้โดยอนุโลม และผู้ร้องก็ได้ยื่นคำร้องเข้ามาก่อนสิ้นระยะเวลาสิบสี่วันนับแต่วันขายทอดตลาดตามที่บัญญัติไว้ในมาตราดังกล่าวแล้วศาลจึงอนุญาตให้ผู้ร้องรับเงินตามสิทธิได้
ที่จำเลยฎีกาว่าจำเลยเป็นผู้มีส่วนได้เสียในทรัพย์ที่โจทก์นำยึด ย่อมโต้แย้งได้ว่าจำเลยยังมีทรัพย์สินอื่นที่ผู้ร้องสามารถเอาชำระหนี้ได้นั้น เห็นว่า มาตรา ๒๙๐ แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งนี้ เป็นบทบัญญัติที่คุ้มครองเจ้าหนี้ดังนั้นข้ออ้างดังกล่าวจึงเป็นข้อโต้แย้งระหว่างเจ้าหนี้ด้วยกัน หาใช่เป็นข้อที่จำเลยผู้เป็นลูกหนี้จะยกขึ้นโต้แย้งได้ดังที่จำเลยเข้าใจไม่ ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน