แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
ระหว่างที่จำเลยทั้งสองถูกดำเนินคดีอาญาข้อหาบุกรุกที่ดินจำเลยทั้งสองไม่ได้อยู่ในที่ดินพิพาท เมื่อศาลฎีกาพิพากษายกฟ้องจำเลยทั้งสองกลับเข้ามาในที่ดินพิพาทใหม่ จึงเป็นการกระทำที่เกิดขึ้นใหม่อีกครั้งหนึ่ง หาใช่การบุกรุกในครั้งก่อนยังคงอยู่ตลอดมาไม่ ฟ้องของโจทก์ร่วมในคดีนี้ที่ฟ้องจำเลยทั้งสองในข้อหาบุกรุกอีกจึงไม่เป็นฟ้องซ้ำ โจทก์ร่วมกับจำเลยทั้งสองพิพาทกันเกี่ยวกับที่ดินพิพาทตั้งแต่ปี 2534 ตลอดมา ซึ่งต่างกล่าวอ้างว่าเป็นผู้มีสิทธิในที่ดินพิพาท โดยโจทก์ร่วมกล่าวหาว่าจำเลยทั้งสองบุกรุกส่วนจำเลยทั้งสองก็กล่าวหาว่าโจทก์ร่วมทำให้ทรัพย์ของจำเลยทั้งสองที่อยู่ในที่ดินพิพาทเสียหาย และจำเลยทั้งสองยังฟ้องโจทก์ร่วมกับพวกเป็นคดีแพ่งขอให้ศาลพิพากษาว่าจำเลยทั้งสองมีสิทธิครอบครองในที่ดินพิพาทดีกว่าโจทก์ร่วม ขณะที่จำเลยทั้งสองกลับเข้ามาในที่ดินพิพาทใหม่นั้นคดีแพ่งยังอยู่ในระหว่างการพิจารณา ประกอบกับเป็นการเข้าไป ในที่ดินพิพาทหลังจากศาลฎีกาพิพากษายกฟ้องในคดีที่จำเลยทั้งสองถูกกล่าวหาว่าบุกรุกที่ดินพิพาทในคดีอาญาก่อนแม้ที่ดินพิพาทในคดีนี้มีเนื้อที่มากกว่าที่ดินในคดีเดิมที่ศาลฎีกายกฟ้องไปก็ตาม แต่ที่ดินในบริเวณนี้ยังไม่มีแนวเขตที่ชัดแจ้งและเนื้อที่ที่จำเลยทั้งสองถูกฟ้องว่าบุกรุกในแต่ละครั้ง ก็มีเนื้อที่แตกต่างกันไม่มาก แสดงว่าจำเลยทั้งสองเข้าไป ครอบครองที่ดินพิพาทด้วยความเชื่อมั่นอย่างสุจริตใจ ว่าจำเลยทั้งสองมีสิทธิเข้าไปครอบครองที่ดินพิพาทได้ อันเป็นการแสดงว่าจำเลยทั้งสองขาดเจตนาบุกรุกที่ดินพิพาท จำเลยทั้งสองจึงไม่มีความผิดฐานบุกรุก
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทั้งสองบุกรุกเข้าไปยึดถือครอบครองในที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์เลขที่ 1004ตำบลศรีมหาโพธิ อำเภอศรีมหาโพธิ จังหวัดปราจีนบุรีของนายวิชิต แสวงดี ผู้เสียหายบางส่วน คิดเป็นเนื้อที่25 ไร่ 1 งาน 31 ตารางวา อันเป็นการรบกวนการครอบครองอสังหาริมทรัพย์ของผู้เสียหายโดยปกติสุข ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 362, 363, 365
จำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธและยังให้การว่า ฟ้องโจทก์เป็นฟ้องซ้ำกับคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 1023/2536 ของศาลชั้นต้นและศาลฎีกาพิพากษาถึงที่สุดให้ยกฟ้อง
ระหว่างพิจารณา นายวิชิต แสวงดี ผู้เสียหาย ยื่นคำร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ศาลชั้นต้นอนุญาต
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาว่า จำเลยทั้งสองมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 362, 365(2)(3) ลงโทษจำคุกคนละ 6 เดือน
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษากลับ ให้ยกฟ้อง
โจทก์ร่วมฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงรับฟังได้เป็นยุติในเบื้องต้นว่าเมื่อวันเวลาและสถานที่เกิดเหตุตามฟ้องจำเลยทั้งสองเข้าไปครอบครองที่ดินพิพาทอันเป็นส่วนหนึ่งของที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์เอกสารหมาย จ.2ซึ่งมีชื่อโจทก์ร่วมและนางสาวปัญญดา เรืองสกุล เป็นผู้ครอบครองและจำเลยทั้งสองเคยถูกโจทก์ร่วมกล่าวโทษและถูกดำเนินคดีอาญาข้อหาบุกรุกที่ดินบางส่วนของที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์เอกสารหมาย จ.2 ตามคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 1023/2536ของศาลชั้นต้น คดีถึงที่สุดโดยศาลฎีกาพิพากษายกฟ้องเมื่อวันที่3 กรกฎาคม 2538 นอกจากนี้จำเลยทั้งสองเคยแจ้งความต่อร้อยตำรวจเอกมานัด มาเจริญ พนักงานสอบสวนสถานีตำรวจภูธรอำเภอศรีมหาโพธิว่าคนงานของโจทก์ร่วมทำให้ทรัพย์ของจำเลยทั้งสองในที่ดินพิพาทเสียหายตามสำเนารายงานประจำวันเกี่ยวกับคดีเอกสารหมาย ล.8 และ ล.9 และจำเลยทั้งสองยังเป็นโจทก์ฟ้องโจทก์ร่วมและนางสาวปัญญดาเมื่อวันที่ 10 มกราคม 2537เป็นคดีแพ่ง เพื่อขอให้ศาลพิพากษาว่าจำเลยทั้งสองมีสิทธิในที่ดินพิพาทดีกว่าโจทก์ร่วมและนางสาวปัญญดาตามสำเนาคำฟ้องเอกสารหมาย ล.10 โจทก์ร่วมฎีกาในข้อแรกว่า โจทก์ร่วมเป็นผู้เสียหาย เห็นว่า ศาลอุทธรณ์ภาค 1 ไม่ได้วินิจฉัยว่า โจทก์ร่วมไม่ใช่ผู้เสียหาย ฎีกาโจทก์ร่วมข้อนี้ไม่ได้โต้แย้งคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1 จึงไม่รับวินิจฉัย ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาโจทก์ร่วมและคำแก้ฎีกาจำเลยทั้งสองในข้อต่อไปมีว่าฟ้องโจทก์ร่วมซ้ำกับคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 1023/2536 ของศาลชั้นต้นหรือไม่ เห็นว่าโจทก์ร่วมมีโจทก์ร่วมและร้อยตำรวจเอกโกศล วรรณศาสตร์ เป็นพยานเบิกความสอดคล้องต้องกันว่า หลังจากจำเลยทั้งสองถูกดำเนินคดีตามคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 1023/2536 ของศาลชั้นต้น แล้วจำเลยทั้งสองออกไปจากที่ดินพิพาทไม่เคยกลับเข้ามาจนกระทั่งวันที่เกิดเหตุคดีนี้และโจทก์ร่วมยังมีนายสาคร แสงหัวเขา ผู้ดูแลไร่ของโจทก์ร่วมเป็นพยานเบิกความสนับสนุนว่า พยานรับจ้างโจทก์ร่วมตั้งแต่ปี 2537 เพิ่งพบเห็นจำเลยทั้งสองกับพวกเข้าบุกรุกที่ดินพิพาทในวันที่ 20 สิงหาคม 2538 ความข้อนี้จำเลยที่ 1 ก็เบิกความรับว่าจำเลยที่ 1 กลับเข้าไปในที่ดินพิพาทไม่ได้หลังจากคดีเดิมเสร็จแล้วจำเลยที่ 1 จึงกลับเข้าไปในที่ดินพิพาทเพื่อทำรั้วก็ถูกดำเนินคดีนี้เมื่อพิเคราะห์ถึงวันที่คดีเดิมถึงที่สุดกับวันที่จำเลยทั้งสองถูกกล่าวหาว่ากระทำผิดคดีนี้ก็สอดคล้องรับกัน ข้อเท็จจริงจึงรับฟังได้ว่าระหว่างที่จำเลยทั้งสองถูกดำเนินคดีตามคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 1023/2536 ของศาลชั้นต้น จำเลยทั้งสองไม่ได้อยู่ในที่ดินพิพาท เมื่อศาลฎีกาพิพากษายกฟ้องคดีเดิมแล้วจำเลยทั้งสองกลับเข้ามาในที่ดินพิพาทใหม่ จึงเป็นการกระทำที่เกิดขึ้นใหม่อีกครั้งหนึ่ง หาใช่การบุกรุกในครั้งก่อนยังคงอยู่ตลอดมาไม่ ฟ้องของโจทก์ร่วมจึงไม่เป็นฟ้องซ้ำ ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาโจทก์ร่วมข้อสุดท้ายมีว่า จำเลยทั้งสองมีความผิดตามฟ้องหรือไม่ เห็นว่าโจทก์ร่วมกับจำเลยทั้งสองพิพาทกันเกี่ยวกับที่ดินพิพาทตั้งแต่ปี 2534 ตลอดมาจนบัดนี้โดยต่างกล่าวอ้างว่าเป็นผู้มีสิทธิในที่ดินพิพาท กล่าวคือ โจทก์ร่วมกล่าวหาว่าจำเลยทั้งสองบุกรุก ส่วนจำเลยทั้งสองก็กล่าวหาว่าโจทก์ร่วมทำให้ทรัพย์ของจำเลยทั้งสองที่อยู่ในที่ดินพิพาทเสียหายและจำเลยทั้งสองยังฟ้องโจทก์ร่วมกับพวกเป็นคดีแพ่งขอให้ศาลพิพากษาว่าจำเลยทั้งสองมีสิทธิครอบครองในที่ดินพิพาทดีกว่าโจทก์ร่วม ขณะที่จำเลยทั้งสองกลับเข้ามาในที่ดินพิพาทใหม่นั้นคดีแพ่งยังอยู่ในระหว่างการพิจารณา ประกอบกับเป็นการเข้าไปในที่ดินพิพาทหลังจากศาลฎีกาพิพากษายกฟ้องในคดีที่จำเลยทั้งสองถูกกล่าวหาว่าบุกรุกที่ดินพิพาทในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 1023/2536ของศาลชั้นต้น แม้ที่ดินพิพาทในคดีนี้มีเนื้อที่มากกว่าที่ดินในคดีเดิมที่ศาลฎีกายกฟ้องไปก็ตาม แต่ที่ดินในบริเวณนี้ยังไม่มีแนวเขตที่ชัดแจ้งและเนื้อที่ที่จำเลยทั้งสองถูกฟ้องว่าบุกรุกในแต่ละครั้งก็มีเนื้อที่แตกต่างกันไม่มาก แสดงว่าจำเลยทั้งสองเข้าไปครอบครองที่ดินพิพาทด้วยความเชื่อมั่นอย่างสุจริตใจว่าจำเลยทั้งสองมีสิทธิเข้าไปครอบครองที่ดินพิพาทได้ อันเป็นการแสดงว่าจำเลยทั้งสองขาดเจตนาบุกรุกที่ดินพิพาท จำเลยทั้งสองจึงไม่มีความผิดตามฟ้อง ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1พิพากษามานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาโจทก์ร่วมฟังไม่ขึ้นทุกข้อ”
พิพากษายืน