คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2417/2525

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ช. ขับรถยนต์ชนกับรถยนต์บรรทุกของจำเลยที่ 2 ซึ่งมีจำเลยที่ 1 ลูกจ้างเป็นผู้ขับขี่ไปในทางการที่จ้าง ช. ถูกฟ้องเป็นคดีอาญาและศาลพิพากษาลงโทษฐานขับรถยนต์ประมาทเป็น เหตุให้ทรัพย์สินของผู้อื่นเสียหาย คดีถึงที่สุด ดัง นั้น ช. ไม่อยู่ในฐานะเป็นเจ้าหนี้ที่จะมีสิทธิเรียกร้อง ค่าเสียหายได้จากจำเลยทั้งสอง แม้โจทก์ซึ่งรับประกันภัย รถยนต์ไว้จาก ช. จะได้ชำระเงินให้แก่ ช. ไป ก็เป็นการปฏิบัติไปตามสัญญาในกรมธรรม์ประกันภัยที่โจทก์ทำไว้กับ ช. แต่หาอาจก่อให้เกิดสิทธิแก่โจทก์ที่จะรับช่วงสิทธิ จาก ช. นำคดีมาฟ้องจำเลยทั้งสองให้ร่วมกันรับผิดต่อ โจทก์ตามที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 880 นั้นไม่

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ได้รับประกันภัยรถยนต์นั่งส่วนบุคคลคันหมายเลขทะเบียน กรุงเทพมหานคร ๖ ค – ๙๔๖๖ ไว้จากนายชัยเลิศ ในวงเงิน ๑๐๐,๐๐๐ บาท มีกำหนด ๑ ปี ประเภทรับผิดชอบชดใช้ความเสียหายโดยสิ้นเชิง เมื่อวันที่ ๑๑ สิงหาคม ๒๕๒๐ เวลาประมาณ ๑๗ นาฬิกาเศษจำเลยที่ ๑ ซึ่งเป็นลูกจ้างของจำเลยที่ ๒ ได้ขับรถยนต์บรรทุกคันหมายเลขทะเบียน พ.บ. ๐๓๒๐๑ ของจำเลยที่ ๒ ไปในทางการที่จ้างของจำเลยที่ ๒ จากจังหวัดสมุทรสงครามไปตามถนนธนบุรี – ปากท่อ บ่ายโฉมหน้ามาทางกรุงเทพมหานคร ด้วยความประมาทปราศจากความระมัดระวังโดยได้ขับรถยนต์ด้วยความเร็วสูงกว่าที่กฎหมายกำหนดและแซงรถยนต์คันอื่นวิ่งล้ำเส้นแบ่งครึ่งถนนเข้ามาชนรถยนต์คันหมายเลขทะเบียนกรุงเทพมหานคร ๖ ค – ๙๔๖๖ ซึ่งมีนายชัยเลิศเป็นผู้ขับขี่จากกรุงเทพมหานครโฉมหน้าไปทางจังหวัดสมุทรสาคร ทำให้รถยนต์คันหมายเลขทะเบียน ๖ ค – ๙๔๖๖ เสียหายขณะเกิดเหตุอยู่ในระหว่างอายุสัญญาประกันภัย โจทก์ได้จ่ายเงินเป็นค่าซ่อมรถยนต์คันที่รับประกันภัยไว้ดังกล่าวให้แก่นายชัยเลิศเป็นเงิน ๙๒,๕๐๐ บาท และจ่ายค่ารถยกไปอีก ๔๐๐ บาท โจทก์จึงรับช่วงสิทธิมาฟ้องคดีนี้ โจทก์ขอคิดดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีในต้นเงินดังกล่าวนับแต่วันทำละเมิดถึงวันฟ้องคิดเป็นเงิน ๕,๘๐๖.๒๕ บาท รวมเป็นค่าเสียหายที่จำเลยทั้งสองจะต้องร่วมรับผิดชดใช้ให้แก่โจทก์จำนวน ๙๘,๗๐๖.๒๕ บาท โจทก์ทวงถามแล้วแต่จำเลยทั้งสองไม่ยอมชำระ ขอให้พิพากษาบังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันและแทนกันชดใช้ค่าเสียหายเป็นเงิน ๙๘,๗๐๖.๒๕ บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีในต้นเงิน ๙๒,๙๐๐ บาทนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จให้แก่โจทก์
จำเลยทั้งสองให้การร่วมกันว่า เหตุเกิดขึ้นจากความประมาทปราศจากความระมัดระวังของนายชัยเลิศแต่เพียงฝ่ายเดียว จำเลยจึงไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์ หากต้องรับผิดจำเลยจะรับผิดในค่าเสียหายเพียง ๓๐,๐๐๐ บาทตามที่เสียไปจริง ขอให้ยกฟ้องโจทก์
ระหว่างพิจารณาปรากฏว่า นายชัยเลิศได้ถูกพนักงานอัยการจังหวัดสมุทรสาครฟ้องเป็นคดีอาญาในข้อหาว่าขับรถยนต์โดยประมาทเป็นเหตุให้ทรัพย์สินของผู้อื่นเสียหาย อันเป็นมูลกรณีเดียวกันกับที่โจทก์นำมาฟ้องเรียกค่าเสียหายฐานละเมิดจากจำเลยทั้งสองเป็นคดีนี้ คดีปรากฏว่าศาลจังหวัดสมุทรสาครพิพากษาว่านายชัยเลิศจำเลยมีความผิดฐานขับรถประมาท นายชัยเลิศจำเลยอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน คดีถึงที่สุด
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษายกฟ้องโจทก์
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงฟังได้เป็นยุติว่าในระหว่างพิจารณาคดีปรากฏว่านายชัยเลิศได้ถูกศาลพิพากษาลงโทษฐานขับรถยนต์ประมาทเป็นเหตุให้ทรัพย์สินของผู้อื่นเสียหาย คดีถึงที่สุด ซึ่งความผิดที่นายชัยเลิศถูกฟ้องเป็นคดีอาญาดังกล่าวเป็นมูลกรณีเดียวกันกับที่บริษัทประกันภัยโจทก์รับช่วงสิทธิจากนายชัยเลิศนำมาฟ้องเรียกร้องค่าเสียหายจากจำเลยทั้งสองฐาน กระทำละเมิดต่อนายชัยเลิศเป็นคดีนี้แล้ววินิจฉัยข้อกฎหมายว่า นายชัยเลิศไม่อยู่ในฐานะเป็นเจ้าหนี้ที่จะมีสิทธิเรียกร้องค่าเสียหายได้จากจำเลยทั้งสอง เพราะนายชัยเลิศเป็นฝ่ายประมาทเสียเองโดยจำเลยทั้งสองไม่ได้เป็นผู้กระทำละเมิดต่อนายชัยเลิศ และมีหน้าที่จะต้องรับผิดชดใช้ค่าเสียหายให้แก่นายชัยเลิศนั้นแต่อย่างใด แม้คดีจะได้ความว่าโจทก์ได้ชำระเงินให้แก่นายชัยเลิศไปเป็นจำนวนเงินดังฟ้องก็เป็นการปฏิบัติไปตามสัญญาในกรมธรรม์ประกันภัยที่โจทก์ทำไว้กับนายชัยเลิศ แต่หาอาจก่อให้เกิดสิทธิแก่โจทก์ที่จะรับช่วงสิทธิจากนายชัยเลิศนำคดีมาฟ้อง จำเลยทั้งสองให้ร่วมกันรับผิดต่อโจทก์ได้ตามนัยที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา ๘๘๐ นั้นไม่
พิพากษายืน

Share